คอลัมน์ ลดค่าไฟฟ้าอำนาจอยู่ในมือ กพช.
โดย กรีนเดย์
หลังจากคณะรัฐมนตรี (ครม.) เมื่อวันที่ 1 เมษายน 2568 ได้มีมติรับทราบมาตรการลดภาระค่าใช้จ่ายด้านพลังงาน ที่มีอัตราค่าไฟฟ้าเป้าหมายอยู่ที่ 3.99 บาทต่อหน่วย สำหรับเรียกเก็บในรอบเดือนพฤษภาคมถึงเดือนสิงหาคม 2568 โดยให้กระทรวงพลังงาน การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) และคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (กกพ.) ร่วมกันพิจารณาหาแนวทางให้ลดค่าไฟตามเป้าหมายให้ได้ภายใน 45 วัน
ทั้งนี้ปัญหาค่าไฟฟ้าแพง ต้องยอมรับก่อนว่า เป็นปัญหาที่สะสมมานาน การแก้ไขต้องใช้เวลาและความรอบคอบ การที่ครม.มีมติรับทราบมาตรการลดค่าใช้จ่ายค่าพลังงานให้กับประชนบนเงื่อนไขที่จะไม่ใช้งบประมาณแผ่นดินมาอุดหนุนค่าไฟ นั่นหมายถึงว่ารัฐบาลกำลังส่งสัญญาณว่าต้องการปรับโครงสร้างค่าไฟทั้งระบบ เพื่อให้ค่าไฟลดลงทันทีตามที่เคยหาเสียงไว้ ทั้งที่รัฐบาลเองก็รู้ว่ามันทำไม่ง่าย ทำทันทีไม่ได้เหมือนกับที่เคยหาเสียงเรียกคะแนนนิยมกันไว้
ยิ่งไปกว่านั่น ควรรู้ด้วยว่าการรื้อ ลด ปลด สร้าง ค่าไฟ อำนาจเต็มมันก็อยู่ในมือคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ(กพช.) ที่มีนายกรัฐมนตรีเป็นประธานอยู่แล้ว เพราะ กพช.เปรียบเหมือนกับคณะรัฐมนตรีพลังงาน โดยที่ไม่จำเป็นต้องพึ่งพาอำนาจของ กกพ. หรือ กฟผ.
กพช. ในฐานะดูแลนโยบายพลังงานทั้งประเทศ กำกับการจัดทำแผนพัฒนากำลังผลิตไฟฟ้าของประเทศหรือ พีดีพี ซึ่งเป็นแผนหลักในการจัดหาพลังงานไฟฟ้า เพื่อรองรับการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจของประเทศ ทราบดีว่า สถานการณ์ที่ผ่านมาเศรษฐกิจของประเทศขยายตัวตํ่ากว่าเป้าหมายมาอย่างต่อเนื่องหลายปี จนส่งผลให้โรงไฟฟ้าที่ก่อสร้างไว้หรือปริมาณสำรองไฟฟ้าล้นเกินกว่าสัดส่วนที่กำหนดไว้มาก จนเป็นเหตุให้ค่าไฟฟ้าแพง
หลายฝ่ายพยายามชี้เป้ามาที่ค่าความพร้อมจ่าย (AP) เป็นต้นเหตุทำให้ค่าไฟแพง เพราะเหตุว่ากฟผ. ต้องจ่ายให้กับโรงไฟฟ้าเอกชนรายใหญ่ (IPP) ตามสัญญาเงื่อนไขที่โรงไฟฟ้าต้องเตรียมความพร้อมในการเดินเครื่อง เพื่อจ่ายไฟฟ้าได้ตลอดเวลา ไม่ว่าโรงไฟฟ้าจะถูกสั่งเดินเครื่องหรือไม่
มีการหยิบยกตัวเลขระดับแสนล้านบาทที่จ่ายไปหลายสิบปี แต่กลับไม่มีใครพูดถึง ข้อเท็จจริงที่สำนักงาน กกพ. ชี้แจงมาตลอดว่า ค่าพร้อมจ่ายไม่ใช้ต้นเหตุของค่าไฟแพง ค่าพร้อมจ่ายที่ถูกนับรวมอยู่ในค่าไฟฟ้าที่เรียกเก็บจากประชาชนจนกว่าโรงไฟฟ้าจะหมดอายุสัญญาไป เป็นต้นทุนค่าไฟฟ้าอยู่ราว 60 สตางค์ต่อหน่วยเท่านั้น และเป็นต้นทุนที่ควรจ่าย เพื่อแลกกับ ความมั่นคง คุณภาพไฟฟ้า และแลกกับการปิดความเสี่ยงด้านพลังงานที่อาจส่งผลกระทบและความเสียหายทางเศรษฐกิจที่ประเมินค่าไม่ได้ หากระบบไฟฟ้าไม่มีความพร้อมจ่ายเกิดเป็นกรณี Black Out เหมือนที่เคยเกิดขึ้นกับประเทศเพื่อนบ้าน
ขณะที่การส่งเสริมพลังงานหมุนเวียนหรือพลังงานสะอาด ที่บรรจุไว้ในแผนพีดีพี เพื่อรับกระแสโลกในอดีตที่ผ่านมา ก็เป็นเหตุผลหนึ่งที่ทำให้ค่าไฟฟ้าปรับตัวสูงขึ้น จากการอนุมัติของกพช.ในโครงการรับซื้อไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนในรูปแบบ Adder และ Feed in Tariff (FiT) ที่ปัจจุบันยังไม่หมดสัญญา และสามารถต่ออายุได้ทุกๆ 5 ปี ซึ่งเป็นต้นทุนแฝงรวมอยู่ในค่าไฟฟ้าราว 17 สตางค์ต่อหน่วย ที่ผู้ใช้ไฟฟ้าต้องแบกรับในส่วนนี้ไว้ด้วย
ต่อมาเมื่อต้นทุนเทคโนโลยีผลิตไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนลดตํ่าลง กพช.ก่อนรัฐบาลปัจจุบัน จึงได้อนุมัติรับซื้อไฟฟ้าตามโครงการรับซื้อไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนรูปแบบ Feed-in Tariff (FIT) ปี 2565-2573 สำหรับกลุ่มไม่มีต้นทุนเชื้อเพลิง สำหรับปี 2565-2573 ปริมาณ 5,203 เมกะวัตต์ และเพิ่มเติมอีกรวม 3,668.5 เมกะวัตต์ เพื่อเพิ่มขีดความสามารถการแข่งขันของประเทศ ในการดึงดูดนักลงทุน รองรับกลุ่มลูกค้าที่ต้องการพลังงานสะอาดหรือพลังงานสีเขียว และสนับสนุนประเทศปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ ภายในปี 2608
ดังนั้น แนวทางลดค่าไฟฟ้าระยะยาว ด้วยการทบทวนหรือแก้ไขสัญญาการรับซื้อไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนในรูปแบบ Adder และ Feed in Tariff (FiT) รวมถึงค่าความพร้อมจ่าย (AP) ที่ต้องให้กับโรงไฟฟ้าเอกชนรายใหญ่ (IPP) ตามสัญญารับซื้อไฟฟ้าระยะยาวนั้นจึงเป็นอำนาจโดยตรงของ กพช.ที่จะต้องตัดสินใจก่อนที่จะให้ฝ่ายปฏิบัติหรือกกพ.ไปดำเนินการตามนโยบายของ กพช. ต่อไป
อย่างไรก็ตาม การแก้ไขสัญญา Adder และ Feed in Tariff (FiT) หรือบอกเลิกสัญญาอาจมีประเด็นปัญหาข้อกฎหมายและเกิดความไม่ชัดเจนในทางปฏิบัติเกิดขึ้นได้ รวมถึงต้องมีการสมยอมทั้ง 2 ฝ่าย ที่ต้องระมัดระวังผลประโยชน์ของประเทศเป็นสำคัญ ขณะที่การทบทวนเงื่อนไขค่าความพร้อมจ่าย อาจกระทบต่อความมั่นคงของระบบไฟฟ้า รวมถึงข้อผูกพันทางสัญญาซื้อขายไฟฟ้า กระทบกับความน่าเชื่อถือ และต้องระมัดระวังการฟ้องร้อง และความเสียหายต่อประเทศที่จะตามมา เช่นกัน
ส่วนการแนวทางลดอัตราค่าไฟฟ้าที่ 3.99 บาทต่อหน่วยนั้น คาดว่าทางกระทรวงพลังงาน จะยังคงให้การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย(กฟผ.) แบกรับภาระต้นทุนแทนประชาชนที่ยังคงค้างอยู่ราว 72,093 ล้านบาท และบริษัท ปตท.จำกัด (มหาชน) แบกรับค่าส่วนต่างราคาก๊าซธรรมชาติที่เกิดขึ้นจริงกับราคาก๊าซธรรมชาติที่เรียกเก็บเดือนกันยายน- ธันวาคม 2566 ที่ 15,084 ล้านบาทต่อไป
หน้า 7 หนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ปีที่ 45 ฉบับที่ 4,089 วันที่ 20 - 23 เมษายน พ.ศ. 2568
ข่าวที่เกี่ยวข้อง