environment

ส่อง 3 แนวทางลดค่าไฟฟ้าระยะยาว เชื่อทำได้ หากรัฐบาลเอาจริง

จากมติคณะรัฐมนตรี(ครม.) เมื่อวันที่ 1 เมษายน 2568 ที่มอบหมายให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องต่าง ๆ ไปดำเนินการศึกษาแก้ปัญหาค่าไฟฟ้าระยะยาว 3 ข้อ และให้นำเสนอแนวทางแก้ปัญหาต่อครม.ภายใน 45 วันนั้น

ประกอบด้วย

1.หาแนวทางแก้ไขปัญหาสัญญาซื้อขายไฟฟ้า (PPA) ในรูปแบบการให้ส่วนเพิ่มราคารับซื้อไฟฟ้า (Adder) และรูปแบบการให้เงินสนับสนุนตามต้นทุนที่แท้จริง (FiT) รวมถึงการแก้ไขเงื่อนไขที่กำหนดให้สัญญาดังกล่าวมีอายุสัญญาต่อเนื่องโดยไม่มีกำหนดวันสิ้นสุดสัญญาไว้

 2.หาแนวทางแก้ปัญหาค่าความพร้อมจ่าย (AP) และค่าพลังงาน (EP) รวมทั้งเงื่อนไขข้อตกลงอื่นในสัญญา PPA จากโรงไฟฟ้าเอกชนรายใหญ่ (IPP) ตามสัญญารับซื้อไฟฟ้าระยะยาว ในทุกสัญญาที่มีเงื่อนไขที่ทำให้การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย(กฟผ.) หรือรัฐเสียเปรียบ หรือมีภาระค่าใช้จ่ายที่สูงเกินสมควร หรือสูงเกินกว่าความเป็นจริง

3.หาแนวทางแก้ไขปัญหาอุปสรรคในข้อตกลงของสัญญารับซื้อไฟฟ้าต่าง ๆ ที่ทำให้ศูนย์การควบคุมระบบไฟฟ้า (SO) ไม่สามารถบริหารจัดการการสั่งผลิตไฟฟ้าให้ต้นทุนผลิตไฟฟ้าของ กฟผ. ลดตํ่าลงได้

ส่อง 3 แนวทางลดค่าไฟฟ้าระยะยาว เชื่อทำได้ หากรัฐบาลเอาจริง

เมื่อพิจารณาทั้ง 3 หัวข้อแล้ว ล้วนอยู่ในผลการศึกษาและข้อสังเกตของคณะกรรมาธิการการพลังงาน สภาผู้แทนราษฎร ที่ได้ศึกษาแนวทางในการแก้ไขปัญหาค่าไฟฟ้าแพง เสนอไปยังรัฐบาลใน 8 มาตรการ ซึ่งจะสามารถช่วยลดค่าไฟฟ้าได้ราว 89 สตางค์ต่อหน่วย

แนวทางข้อแรก ผลการศึกษาชี้ให้เห็นว่า ที่ผ่านมาการรับซื้อไฟฟ้าจากกลุ่มผู้ผลิตไฟฟ้ารายเล็ก (SPP) และกลุ่มผู้ผลิตไฟฟ้าขนาดเล็กมาก (VSPP) มีการอุดหนุนการรับซื้อในรูปแบบ Adder และ Feed in Tariff (FiT) เมื่อครบกำหนดอายุสัญญารับซื้อไฟฟ้าก็ได้รับการต่อสัญญาในเงื่อนไขเดิมและได้รับการอุดหนุนราคารับซื้อมาอย่างต่อเนื่องตามนโยบายเดิมที่ต้องการสนับสนุนและส่งเสริมผู้ประกอบการโรงไฟฟ้าขนาดเล็กและรองรับการเพิ่มปริมาณไฟฟ้าสะอาดเข้ามาในระบบให้มากขึ้น

ปัจจุบันผู้ประกอบการกลุ่มนี้ผ่านจุดคุ้มทุน รวมทั้งมีความพร้อมและสามารถรับมือกับการแข่งขันได้ และมีการพัฒนาเทคโนโลยีพลังงานหมุนเวียน ซึ่งทำให้สามารถลดต้นทุนการผลิตไฟฟ้าได้อย่างต่อเนื่อง หากสามารถทบทวนหรือยกเลิกได้ จะช่วยให้สามารถลดค่าไฟฟ้าได้ 17 สตางค์ต่อหน่วย

แนวทางข้อ 2 คณะกรรมาธิการการพลังงาน ให้ข้อสังเกตว่า ค่าความพร้อมจ่ายของโรงไฟฟ้า หรือ Availability Payment(AP) เป็นค่าใช้จ่ายที่กำหนดอยู่ในสัญญาซื้อขายไฟฟ้าระหว่างกฟผ. กับโรงไฟฟ้า IPP รวมถึงสัญญาซื้อขายไฟฟ้าระหว่างโรงไฟฟ้าของบริษัทในเครือของ กฟผ. ด้วยกันเอง

สาเหตุที่ต้องมีการจ่ายค่าความพร้อมจ่ายนั้น เพื่อเป็นเงื่อนไขให้โรงไฟฟ้าต้องเตรียมความพร้อมในการเดินเครื่องเพื่อจ่ายไฟฟ้าตลอดเวลา สามารถรองรับความต้องการใช้ไฟฟ้าที่เปลี่ยนแปลงตลอดวันและสำรองให้พร้อมจ่ายไฟฟ้า ไม่ว่าโรงไฟฟ้าจะถูกสั่งเดินเครื่องหรือไม่ ค่าใช้จ่ายดังกล่าวจะถูกรวมอยู่ในค่าไฟฟ้าที่เรียกเก็บจากประชาชนจนกว่าโรงไฟฟ้าจะหมดอายุสัญญาไป

หากรัฐบาลต้องการบรรเทาผลกระทบค่าไฟฟ้าของประชาชน โดยการยกเว้นหรือปรับลดการเรียกเก็บค่าความพร้อมจ่าย อาจกระทบต่อความมั่นคงของระบบไฟฟ้า รวมถึงข้อผูกพันทางสัญญาซื้อขายไฟฟ้า

ดังนั้น รัฐบาลอาจพิจารณาดำเนินการขยายอายุสัญญา เพื่อเป็นการชดเชยให้ค่า AP ลดลงได้ โดยจะต้องคำนึงถึงผลกระทบด้านภาระค่าใช้จ่ายอื่น ๆ ที่เพิ่มขึ้น เช่น ค่าบำรุงรักษา เพื่อให้โรงไฟฟ้าที่ถูกยืดอายุมีความพร้อมเดินเครื่องต่อไปด้วย

ส่วนแนวทางข้อ 3 คณะกรรมาธิการพลังงาน ให้ข้อสังเกตว่า การสั่งเดินเครื่องโรงไฟฟ้าของศูนย์ควบคุมระบบกำลังไฟฟ้าของ กฟผ.จะเริ่มจากการสั่งเดินเครื่องโรงไฟฟ้าประเภทจำเป็นต้องเดินเครื่องเพื่อรักษาความมั่นคง หรือที่เรียกว่า Must Run เป็นลำดับแรก ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นโรงไฟฟ้าที่จ่ายไฟฟ้าให้กับพื้นที่เขตนครหลวง ซึ่งมีความต้องการใช้ไฟฟ้าในปริมาณมาก นอกจากนี้ ยังมีโรงไฟฟ้าในพื้นที่ภาคใต้ เพราะหากไม่เดินเครื่องโรงไฟฟ้าประเภทนี้แล้ว อาจทำให้ไฟฟ้าดับได้

ลำดับถัดมา เป็นการสั่งเดินเครื่องโรงไฟฟ้าประเภทที่จะต้องเดินเครื่องตามข้อภาระผูกพันทางสัญญา หรือที่เรียกว่า Must Take เช่น โรงไฟฟ้า IPP โรงไฟฟ้า SPP เป็นต้น จากนั้นจึงสั่งเดินเครื่องโรงไฟฟ้าที่มีต้นทุนการผลิตตํ่าที่สุดตามลำดับ หรือที่เรียกว่า Merit Order เพื่อให้ต้นทุนค่าไฟฟ้าตํ่าที่สุด

ดังนั้น หากมีการสั่งเดินเครื่องประเภท Must Run หรือ MustTake อยู่ในระดับที่มีสัดส่วนสูงกว่าประเภท Merit Order แล้ว ย่อมจะส่งผลให้ต้นทุนค่าผลิตไฟฟ้าสูงขึ้น จึงเห็นควรให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องบริหารการเดินเครื่องไฟฟ้าให้มีประสิทธิภาพอย่างเหมาะสม โดยคำนึงถึงต้นทุนที่ใช้ในการผลิตไฟฟ้าเป็นสำคัญ