ปัจจุบันแผนบริหารจัดการก๊าซธรรมชาติ พ.ศ. 2567-2580 (Gas Plan 2024) อยู่ระหว่างเปิดรับฟังความเห็น เพื่อปรับปรุงร่างก่อนจะนำไปบรรจุอยู่ในแผนพลังงานชาติที่อยู่ระหว่างจัดทำต่อไป
สำหรับการใช้ก๊าซธรรมชาติในช่วงปี 2566 มีความต้องการอยู่ที่ 4,410 ล้านลูกบาศก์ฟุตต่อวัน ปี 2567 เพิ่มเป็น 4,859 ล้านลูกบาศก์ฟุตต่อวัน โดยในปี 2566 มีการจัดหาก๊าซธรรมชาติมาจาก 3 แหล่ง ปริมาณ 4,664 ล้านลูกบาศก์ฟุตต่อวัน เป็นการจัดหาภายในประเทศสัดส่วน 56.88% จากเมียนมา 11.92% และนำเข้าแอลเอ็นจีจากต่างประเทศ 31.20%
ทั้งนี้ ในร่างแผน Gas Plan 2024 ได้พยากรณ์ความต้องการก๊าซธรรมชาติจะลดลง จาก Gas Plan 2018 เนื่องจากมีการเพิ่มสัดส่วนการใช้เชื้อเพลิงจากพลังงานสะอาดในภาคไฟฟ้าเพิ่มขึ้นจากเดิมที่มีสัดส่วนราว 36% เพิ่มเป็น 51% รวมทั้งภาคการผลิตไฟฟ้ามีนโยบายที่จะนำไฮโดรเจนมาผสมร่วมกับก๊าซธรรมชาติในการผลิตไฟฟ้า ซึ่งจะเริ่มในท่อก๊าซธรรมชาติฝั่งตะวันออกในสัดส่วน 5% ของปริมาณก๊าซที่ใช้ผลิตไฟฟ้า
ขณะที่ภาคขนส่งได้พิจารณาตาม ตามแนวโน้มการลดลงของรถยนต์ที่ใช้ก๊าซเอ็นจีวี ในอัตราเฉลี่ยปีละ 11.29 % ส่วนการใช้ก๊าซของภาคอุตสาหกรรม จะเติบโตตามการขยายตัวทางเศรษฐกิจที่ราว 3.1% มาพิจารณาในการจัดหาก๊าซธรรมชาติ
ในร่างแผน Gas Plan 2024 จึงระบุความต้องการก๊าซธรรมชาติในช่วงปี 2567-2580 จะอยู่ที่ 4,700-4,800 ล้านลูกบาศก์ฟุตต่อวัน และสิ้นปี 2580 จะมีความต้องการอยู่ที่ 4,747 ล้านลูกบาศก์ฟุตต่อวัน ในช่วงปี 2566 มีความต้องการอยู่ที่ 4,410 ล้านลูกบาศก์ฟุตต่อวัน ปี 2567 เพิ่มเป็น 4,859 ล้านลูกบาศก์ฟุตต่อวัน โดยในปี 2566 มีการจัดหาก๊าซธรรมชาติมาจาก 3 แหล่ง ปริมาณ 4,664 ล้านลูกบาศก์ฟุตต่อวัน เป็นการจัดหาภายในประเทศสัดส่วน 56.88 % จากเมียนมา 11.92 % และนำเข้าแอลเอ็นจีจากต่างประเทศ 31.20 %
ขณะที่ปี 2580 การจัดหาก๊าซจะมาจากทั้ง 3 แหล่งเดิม แต่สัดส่วนการนำเข้าแอลเอ็นพีจะเพิ่มขึ้นเป็น 37 % ก๊าซจากเมียนมาเหลือ 5 % ก๊าซในอ่าวไทยเหลือ 36 % แต่มีความหวังว่าศักยภาพก๊าซในอ่าวไทยที่มีอยู่จะสามารถเพิ่มปริมาณขึ้นได้อีกราว 15 % ขณะที่ก๊าซแอลเอ็นจีสัญญาระยาวที่ทำไว้ จากปี 2567 ที่มีสัดส่วนราว 12 % จะลดลงเหลือเพียง 6 %
ส่วนโครงสร้างพื้นฐานก๊าซฯ ยังสามารถรองรับก๊าซฯ ในปัจจุบันได้เพียงพอ แต่ในอนาคตต้องมีการพิจารณาโครงสร้างพื้นฐานก๊าซฯ เพิ่มเติมทั้งในส่วนของการรองรับการนำเข้าก๊าซ LNG ถังเก็บก๊าซฯ และระบบรับส่งก๊าซฯ เพื่อเพิ่มความยืดหยุ่นและใช้ในการบริหารจัดการรองรับความต้องการใช้ก๊าซฯ ในการผลิตไฟฟ้าของประเทศในช่วงความต้องการใช้ไฟฟ้าสูงสุด (พีคไฟฟ้า) การใช้เชิงพาณิชย์ การใช้ในภาคอุตสาหกรรม และยังต้องรองรับที่ไทยจะเป็นศูนย์กลางซื้อขายแอลเอ็นในภูมิภาค(Regional LNG Hub)
อย่างไรก็ตาม แม้ว่าเมื่อสิ้นสุดของแผนประมาณการใช้ก๊าซธรรมชาติจะลดลง แต่ประเทศต้องมีการนำเข้าก๊าซแอลเอ็นจีที่เพิ่มขึ้น เพื่อมาทดแทนปริมาณก๊าซธรรมชาติในอ่าวไทยที่ลดลง โดยเฉพาะการนำเข้ามาเพื่อมาป้อนให้กับโรงไฟฟ้าทางภาคใต้ที่จะมีการก่อสร้างขึ้นมาใหม่ ซึ่งจะต้องมีการก่อสร้างคลังรับ-จ่ายก๊าซฯ หรือจะเป็นลักษณะของคลังลอยนํ้า (FSRU) ขึ้นมารองรับอีกราว 2 ล้านตันต่อปี เพิ่มเติมจากปัจจุบันที่รองรับได้ราว 19 ล้านต้นต่อปี และอยู่ระหว่างก่อสร้างอีก 10.8 ล้านตันต่อปี ซึ่งปริมาณดังกล่าวจะสามารถรองรับได้ถึงปี 2578 เท่านั้น รวมการนำเข้าแอลเอ็นจีเมื่อสิ้นสุดแผนที่ 31.8 ล้านตันต่อปี
อีกทั้ง ร่างแผน Gas Plan 2024 ยังเสนอให้มีการจัดหาแหล่งก๊าซในประเทศเพิ่มเติมจากแหล่งอื่น ๆ โดยเฉพาะการเร่งเจรจาเพื่อให้ได้ข้อยุติพื้นที่ทับซ้อนไทย-กัมพูชา (OCA) เพื่อพัฒนาแหล่งปิโตรเลียมขึ้นมา เพื่อลดการนำเข้าแอลเอ็นจีที่มีราคาแพง
ข่าวที่เกี่ยวข้อง