“พีระพันธุ์”จ่อปรับแนวทางเจรจาพื้นที่ทับซ้อน OCA ไทย-กัมพูชา

11 ต.ค. 2566 | 09:10 น.

“พีระพันธุ์”จ่อปรับแนวทางเจรจาพื้นที่ทับซ้อน OCA ไทย-กัมพูชา ระบุเป็นเรื่องที่กระทรวงพลังงานให้ความสำคัญเพราะเป็นนโยบายรัฐบาล หลังเป็นปัญหาคาราคาซังผ่านมือนายกรัฐมนตรีของไทยมาแล้ว 7 สมัย

การเจรจาพื้นที่อ้างสิทธิทับซ้อนทางทะเลระหว่างไทยและกัมพูชา หรือ Overlapping Claims Area – OCA เป็นประเด็นที่ยังหาข้อยุติไม่ได้ในปัจจุบัน แม้ว่าเวลาจะผ่านมาเนิ่นนาน และมีการเปลี่ยนผู้นำประเทศของไทยมาแล้วหลายราย

ต่อกรณีดังกล่าวล่าสุดนายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน ระบุถึงความคืบหน้าในการหาข้อยุติพื้นที่อ้างสิทธิทับซ้อนทางทะเลระหว่างไทยและกัมพูชา หรือ OCA ว่า กระทรวงพลังงานให้ความสำคัญในเรื่องดังกล่าวนี้ เนื่องจากเป็นนโยบายของรัฐบาล 

อย่างไรก็ดี เท่าที่ได้ดูข้อตกลงภายใต้ MOU 2544 เห็นว่าควรจะต้องมีการปรับแนวทางการเจรจากันใหม่

ทั้งนี้ จากการตรวจสอบของ "ฐานเศรษฐกิจ" พบว่า เรื่องการเร่งรัดเจรจาเพื่อให้ได้ข้อยุติในพื้นที่อ้างสิทธิทับซ้อนทางทะเลระหว่างไทยและกัมพูชา เป็นนโยบายรัฐบาลที่นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีคนที่ 30 ของไทย แถลงต่อรัฐสภาเมื่อวันที่ 14 กันยายน 2566 ที่ผ่านมา 

และในวันที่ 28 กันยายน นายกรัฐมนตรีของไทยไทยและคณะได้เดินทางไปเยือนประเทศกัมพูชา อย่างเป็นทางการ เป็นประเทศแรกในอาเซียน เพื่อหารือกับสมเด็จมหาบวรธิบดี ฮุน มาเนต นายกรัฐมนตรี โดยนายกรัฐมนตรีของทั้งสองประเทศเห็นพ้องกันว่า เป็นช่วงเวลาเหมาะสมที่จะเปิดศักราชใหม่ของความสัมพันธ์ของ 2 ประเทศ  แต่ยังไม่ได้มีการหยิบยกเรื่อง OCA มาคุยกันบนโต๊ะเจรจา

สำหรับบันทึกความเข้าใจว่าด้วยพื้นที่ที่ไทยกับกัมพูชาอ้างสิทธิในไหล่ทวีปทับซ้อนกันที่ลงนามโดย ดร.สุรเกียรติ์ เสถียรไทย อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศของไทยกับนาย ชก อัน รัฐมนตรีอาวุโสประจำสำนักนายกรัฐมนตรีของกัมพูชา ในปี 2544 หรือที่เรียกว่า MOU 2544 มีประเด็นที่ทำให้เกิดความล่าช้า และยากต่อการหาข้อยุติ เนื่องจาก มีการกำหนดให้พื้นที่ส่วนที่จะแบ่งเส้นเขตแดนทางทะเล  และ พื้นที่ที่จะพัฒนาทรัพยากรปิโตรเลียมร่วมกัน  ที่ จะต้องดำเนินการทำข้อตกลงไปด้วยกันไม่สามารถแบ่งแยกได้ (Indivisible package)  

“พีระพันธุ์”จ่อปรับแนวทางเจรจาพื้นที่ทับซ้อน OCA ไทย-กัมพูชา

โดยพื้นที่ส่วนที่ตกลงแบ่งเส้นเขตทางทะเล ซึ่งมีประมาณ 10,000 ตารางกิโลเมตรนั้น  ทางฝ่ายกัมพูชา ลากเส้นล้ำเข้ามาโดยไม่ได้อิงหลักสากลตามอนุสัญญาสหประชาชาติ ว่าด้วยกฎหมายทะเล ค.ศ.1982 (UNCLOS) ที่ไทยเป็นภาคี ทำให้เมื่อตกลงในส่วนแรกไม่ได้ ก็จะไม่สามารถตกลงในส่วนของพื้นที่พัฒนาร่วมได้ ตามที่ระบุใน MOU 

โดยพื้นที่ทับซ้อนทางทะเลมีพื้นที่ 26,000 ตารางกิโลเมตร แบ่งการเจรจา เป็น 2 ส่วน ได้แก่ 

  • พื้นที่เหนือเส้นละติจูดที่ 11 องศาเหนือขึ้นไป ต้องหาข้อสรุปเขตแดนทางทะเล 10,000 ตารางกิโลเมตร ให้ชัดเจนตามกฎหมายระหว่างประเทศ ซึ่งส่วนนี้กัมพูชาขีดเส้นผ่านเกาะกูด จ.ตราด
  • พื้นที่ใต้เส้นละติจูดที่ 11 องศาเหนือลงมา พื้นที่ 16,000 ตารางกิโลเมตร ซึ่งมี เป้าหมายทำความตกลงพัฒนาปิโตรเลียมร่วมกัน (JDA) ร่วมกับมาเลเซีย
     

ส่วนผู้ได้รับสัมปทานพื้นที่ทับซ้อนจากรัฐบาลไทยเมื่อปี 2511 แบ่งเป็น 5 ส่วน ประกอบด้วย

  • แปลง B5 และ B6 คือ Idemitsu Oil เป็นผู้ดำเนินงานหลัก (Operator) ถือสัดส่วน 50% และพันธมิตรมี Chevron E&P สัดส่วน 20% ,Chevron Blocks 5 and 6 สัดส่วน 10% ,Mitsui Oil Exploration Co.Ltd. สัดส่วน 20%
  • แปลง B7,B8 และ B9 คือ British Gas Asia เป็นผู้ดำเนินงานหลักถือสัดส่วน 50% และพันธมิตร คือ Chevron Overseas สัดส่วน 33.33% และ Petroleum Resources สัดส่วน 16.67%
  • แปลง B10 และ B11 คือ Chevron Thailand E&P เป็นผู้ดำเนินการหลัก ถือสัดส่วน 60% และพันธมิตร คือ Mitsui Oil Exploration สัดส่วน 40%
  • แปลง B12 และ B13 (บางส่วน) คือ Chevron Thailand E&P เป็น ผู้ดำเนินการหลัก ถือสัดส่วน 80% และพันธมิตร คือ Mitsui Oil Exploration สัดส่วน 20%
  • แปลง G9/43 และ B14 ผู้รับสิทธิ คือ บริษัท ปตท.สำรวจและผลิตปิโตรเลียม จำกัด (มหาชน) หรือ ปตท.สผ.

ผ่านมือนายกรัฐมนตรี 7 ราย

ประเด็นปัญหาของพื้นที่ OCA นั้น ผ่านการเปลี่ยนนายกรัฐมนตรีของไทยมาแล้วถึง 7 ราย ก่อนที่จะมาถึงรัฐบาลภายใต้การนำของนายเศรษฐา  ประกอบด้วย

  • นายทักษิณ ชินวัตร 
  • พล.อ.สุรยุทธ จุลานนท์ 
  • นายสมัคร สุนทรเวช 
  • นายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ 
  • นายอภิสิทธิ เวชชาชีวะ
  • นางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร 
  • พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา

และล่าสุดนายกรัฐมนตรีคนที่ 30 ของประเทศไทย นายเศรษฐา ทวีสิน

รัฐมนตรีต่างประเทศ 11 ราย

โดยมีรัฐมนตรีต่างประเทศมาแล้ว 11 คน ซึ่งไทยและกัมพูชาได้ประชุมคณะกรรมการร่วมทางเทคนิค (Joint Technical Committee—JTC) เพื่อหารือเรื่องเขตทับซ้อนไปเพียง 2 ครั้ง คณะอนุกรรมาธิการร่วมทางเทคนิคอีก 2 ครั้ง คณะกรรมการร่วมทางเทคนิคหารืออย่างไม่เป็นทางการ 4 ครั้ง ประชุมคณะทำงานร่วมไทย-กัมพูชาว่าด้วยการกำหนดพื้นที่พัฒนาร่วมทางทะเล 1 ครั้ง และมีการประชุมคณะทำงานว่าด้วยระบอบพัฒนาร่วม 6 ครั้ง แต่ยังไม่มีความคืบหน้าที่เป็นชิ้นเป็นอัน