ค่าไฟเอกชนยังลดได้อีกก่อน ก.พ. ปี66 หลังพลังงานผนึกกกร.กู้วิกฤต

29 ธ.ค. 2565 | 10:44 น.

ค่าไฟเอกชนยังลดได้อีกก่อน ก.พ. ปี66 หลังพลังงานผนึกกกร.กู้วิกฤต แม้ กกพ. เพิ่งมีมติปรับลดค่าเอฟทีภาคธุรกิจเหลือ 154.92 สตางค์ต่อหน่วยล่าสุด

นายสุพัฒนพงษ์ พันธ์มีเชาว์ รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน เปิดเผยว่า ได้ดำเนินการหารือร่วมกับคณะกรรมการร่วมภาคเอกชน 3 สถาบัน (กกร.) ซึ่งประกอบด้วย สภาหอการค้าแห่งประเทศไทย ,สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) และสมาคมธนาคารไทย และอธิบายสถานการณ์ด้านราคาเชื้อเพลิงซึ่งเป็นวิกฤตพลังงานที่เกิดขึ้นทั่วโลกและเป็นปัจจัยหลักที่ส่งผลกระทบต่อต้นทุนการผลิตไฟฟ้าต่อ กกร.

 

อย่างไรก็ดี ล่าสุดผลการพิจารณาของคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน ได้มีการทบทวนค่าไฟฟ้าผันแปรหรือค่าเอฟที (Ft)  สำหรับภาคธุรกิจและภาคอุตสาหกรรมให้อยู่ที่ 154.92 สตางค์ต่อหน่วย โดยมีการปรับลดลงจากมติ กกพ. เมื่อวันที่ 14 ธันวาคม 2565 ที่ 190.44 สตางค์ต่อหน่วย หรือลดลง 35.53 สตางค์ต่อหน่วย 

 

ซึ่งการลดค่า Ft ในครั้งนี้ เป็นความร่วมมือระหว่างการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) และ กกพ. ในการคำนวณค่า Ft ซึ่งยังไม่รวมกับ การลดต้นทุนที่จะเกิดขึ้นความร่วมมือทุกผ่ายในอนาคตอันใกล้ 

 

ทั้งนี้ หากแล้วเสร็จก็จะเร่งให้เสนอคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (กพช.) หรือคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (กกพ.) พิจารณาให้มีผลทันที เพื่อลดภาระต้นทุนค่าไฟฟ้าของ ธุรกิจ และ อุตสาหกรรม รวมถึงร่วมสร้างขีดความสามารถในการแข่งขันเพื่อรองรับโอกาสการลงทุนใหม่ๆ ของประเทศต่อไป

“ความเดือดร้อนของผู้ประกอบการเกี่ยวกับต้นทุนด้านพลังงาน ทางกระทรวงพลังงานได้มีการใช้มาตรการต่างๆ แต่ช่วงนี้ต้องยอมรับว่าเป็นวิกฤติพลังงานจริงๆ จึงยังมีความจำเป็นที่จะต้องได้รับความร่วมมือจากภาคธุรกิจและอุตสาหกรรมซึ่งเป็นผู้ใช้พลังงานรายสำคัญ อาทิ การพิจารณามาตรการจูงใจเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการใช้พลังงาน การปรับเปลี่ยนไปใช้เชื้อเพลิงอื่นทดแทนก๊าซธรรมชาติที่มีต้นทุนสูง รวมถึงแนวทางการบริหารจัดการด้านอื่นๆ  ซึ่งจะได้มีการนำข้อหารือและความเห็นต่างๆ ทั้งของกระทรวงพลังงาน กกพ. และ กกร. มาแสวงหาแนวทางปฏิบัติร่วมกันเพื่อให้เห็นผลอย่างเป็นรูปธรรมในการลดต้นทุนเชื้อเพลิงและคาดว่าจะสามารถลดค่าไฟฟ้าให้กับภาคอุตสาหกรรมได้ โดยมีเป้าหมายให้แล้วเสร็จภายในเดือนกุมภาพันธ์ 2566 นี้” 

 

พลังงานผนึกกกร.กู้วิกฤตค่าไฟ

นายสุพัฒนพงษ์ กล่าวต่อไปว่า ในช่วงที่ผ่านมา กระทรวงพลังงานและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้แสวงหาแนวทางต่างๆ ร่วมกันในการลดผลกระทบจากราคาเชื้อเพลิงที่ใช้ผลิตไฟฟ้า อาทิ การปรับเปลี่ยนไปใช้เชื้อเพลิงที่มีราคาถูก การแสวงหาแหล่งก๊าซในประเทศและประเทศเพื่อนบ้านเพิ่มเติม การลดความต้องการใช้ก๊าซในภาคส่วนอื่นๆ เพื่อให้มีก๊าซจากอ่าวไทยเข้าสู่ภาคไฟฟ้าเพิ่มขึ้น เป็นต้น 

 

โดยแนวทางที่กล่าวมาข้างต้น สามารถลดต้นทุนในการผลิตไฟฟ้าตลอดปี 2565 ได้หลายหมื่นล้านบาท รวมถึงมีนโยบายให้ทาง กฟผ. ได้แบกรับภาระต้นทุนการผลิตไฟฟ้าไว้บางส่วนเพื่อแบ่งเบาภาระประชาชน นอกจากนี้ในปี 2566 ทิศทางของต้นทุนเชื้อเพลิง มีแนวโน้มที่ดีขึ้นเนื่องจากจะมีการผลิตก๊าซจากแหล่งในอ่าวไทยได้เพิ่มมากขึ้นตั้งแต่ช่วงครึ่งหลังของปี 2566 เป็นต้นไป ซึ่งจะส่งผลให้ต้นทุนการผลิตไฟฟ้าลดลงในที่สุด

อย่างไรก็ดี ที่ผ่านมากระทรวงพลังงานได้ให้ความร่วมมือกับภาคเอกชนมาโดยตลอด เห็นได้จากตัวอย่างการช่วยเหลือผู้ประกอบการในการประหยัดพลังงานตามโครงการ 30-70/20-80 ที่มีส่วนช่วยให้ผู้ประกอบการลดค่าใช้จ่ายพลังงาน โดยกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงานให้การสนับสนุนแก่ผู้ประกอบการอุตสาหกรรม 

 

โดยการสนับสนุนเงินลงทุน 20-30% และความร่วมมืออื่นๆ ในการอนุรักษ์พลังงานและส่งเสริมการใช้พลังงานทดแทน ซึ่งเป็นองค์ประกอบสำคัญต่อทั้งการลดค่าใช้จ่ายด้านพลังงาน และการร่วมเดินหน้าประเทศสู่ความเป็นกลางทางคาร์บอน ในปี พ.ศ. 2593