สกนช.ถก UBE ผลกระทบหลังลดชดเชยเชื้อเพลิงชีวภาพ

26 พ.ค. 2566 | 07:52 น.

สกนช.ถก UBE ผลกระทบหลังลดชดเชยเชื้อเพลิงชีวภาพ พร้อมดึงหน่วยงานภาครัฐและเอกชนเข้าร่วมสร้างความรู้ความเข้าใจด้านสถานการณ์พลังงาน บทบาทและความเป็นมาของกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง

นายวิศักดิ์ วัฒนศัพท์ ผู้อำนวยการสำนักงานกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง เปิดเผยว่า สกนช. ได้ดำเนินการหารือกับบริษัท อุบล ไบโอ เอทานอล จำกัด (มหาชน) หรือ UBE แลกเปลี่ยนข้อคิดเห็นต่อแนวทางการลดการจ่ายเงินชดเชยน้ำมันเชื้อเพลิงที่มีส่วนผสมของเชื้อเพลิงชีวภาพ

ทั้งนี้ เพื่อสร้างความรู้และความเข้าใจต่อสถานการณ์พลังงาน และบทบาทความเป็นมาของกองทุนน้ำมัน โดยที่ผ่านมากองทุนน้ำมันฯ มีบทบาทค่อนข้างมากในการเป็นเครื่องมือพยุงราคาขายปลีกน้ำมันดีเซลในประเทศให้อยู่ระดับเหมาะสม 

ซึ่งถือเป็นบทบาทหลักของกองทุนน้ำมันฯ ในการรักษาเสถียรภาพราคาพลังงานในประเทศในยามวิกฤตในอีกบทบาทหนึ่งที่สำคัญตามมาตรา 55 แห่งพระราชบัญญัติกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง พ.ศ.2562 คือ การลดการจ่ายเงินชดเชยน้ำมันเชื้อเพลิงที่มีส่วนผสมของเชื้อเพลิงชีวภาพ 

โดยที่ผ่านมาคณะรัฐมนตรี (ครม.) เห็นชอบการขยายระยะเวลาดำเนินการจ่ายเงินชดเชยให้แก่น้ำมันเชื้อเพลิงที่มีส่วนผสมของเชื้อเพลิงชีวภาพออกไป 2 ปี จนถึงวันที่ 24 กันยายน 2567 เนื่องจากมีปัจจัยที่ทำให้สถานการณ์ยังไม่เอื้อต่อการลดการชดเชยดังกล่าว 

สำหรับการขยายเวลาลดการชดเชยจะช่วยเป็นกลไกในการรักษาระดับค่าการตลาดของน้ำมันเชื้อเพลิงที่มีส่วนผสมของเชื้อเพลิงชีวภาพ โดยการสร้างส่วนต่างราคาขายปลีกจูงใจให้เกิดการใช้พลังงานชีวภาพ และยังเป็นการช่วยเหลือเกษตรกรให้มีรายได้จากการขยายพืชผลทางเกษตรอีกด้วย

สกนช.ถก UBE ผลกระทบหลังลดชดเชยเชื้อเพลิงชีวภาพ นอกจากนี้ ยังได้ลงพื้นที่ดูกระบวนการผลิตเอทานอลของ UBE ศึกษาดูงานเกี่ยวกับธุรกิจผลิตเชื้อเพลิงชีวภาพจากเอทานอล รวมถึงติดตามความก้าวหน้าของธุรกิจเชื้อเพลิงชีวภาพที่มีศักยภาพ มีความพร้อมปรับตัวรับมือกับสถานการณ์หากต้องยกเลิกการชดเชยให้แก่น้ำมันเชื้อเพลิงที่มีส่วนผสมของเชื้อเพลิงชีวภาพในที่สุด 

"UBE เป็นตัวอย่างที่ค่อนข้างโดดเด่นสามารถพัฒนาเชื้อเพลิงชีวภาพไปสู่การผลิตผลิตภัณฑ์ที่หลากหลายตอบโจทย์ความต้องการของผู้บริโภค"

นางสาวสุรียส โควสุรัตน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร และกรรมการผู้จัดการใหญ่ UBE กล่าวว่า บริษัทฯ มีโรงงานผลิตเอทานอลกำลังการผลิต 400,000 ลิตรต่อวัน หรือเทียบเท่ากำลังการผลิต 146 ล้านลิตรต่อปี ซึ่งถือเป็นกำลังการผลิตต่อ 1 สายการผลิตที่ใหญ่ที่สุดในกลุ่มผู้ผลิตเอทานอลจากมันสำปะหลัง โดย สามารถผลิตได้ทั้งเอทานอลเกรดเชื้อเพลิง (Fuel Grade Alcohol) และเกรดอุตสาหกรรม (Industrial Grade Alcohol) ซึ่งปัจจุบันได้รับใบอนุญาตแบบชั่วคราวให้นำไปผลิตเป็นผลิตภัณฑ์แอลกกอฮอล์ทำความสะอาดมือ 

บริษัทฯ มุ่งดำเนินธุรกิจบนแนวคิดการสร้างคุณค่าร่วมเพื่อความยั่งยืน โดยให้ความสำคัญกับทุกกระบวนการตลอดวัฎจักรของผลิตภัณฑ์ตั้งแต่ต้นน้ำ ซึ่งเป็นการบริหารจัดการวัตถุดิบมันสำปะหลัง โดยเฉพาะการส่งเสริมการปลูกมันสำปะหลังอินทรีย์ที่มีคุณภาพผ่านโครงการอีสานล่าง 2 โมเดล (เดิม โครงการอุบลโมเดล) ต่อมาถึงกระบวนการผลิตที่มีผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมน้อยที่สุด 
 

รวมถึงการเดินตามเป้าหมายการใช้ประโยชน์จากวัตถุดิบและทรัพยากรที่มีอยู่อย่างคุ้มค่าที่สุด และการเพิ่มมูลค่าของเสียที่เกิดจากการผลิต ภายใต้แนวคิด Zero Waste ซึ่งเป็นการลดขยะตั้งแต่ต้นทางเพื่อไม่ให้เกิดของเสียออกจากกระบวนการผลิต

ด้วยการนำผลพลอยได้จากกระบวนการผลิต เช่น น้ำและกากมันสำปะหลัง มาใช้ให้เกิดประโยชน์สูงสุด โดยนำมาเป็นวัตถุดิบตั้งต้นในการผลิตก๊าซชีวภาพเพื่อใช้เป็นพลังงานทดแทนในโรงงานผลิตเอทานอลและแป้งมันสำปะหลัง 

นอกจากนี้ ก๊าซชีวภาพที่ผลิตได้ส่วนหนึ่งจะนำไปผลิตกระแสไฟฟ้า เพื่อใช้หมุนเวียนในโรงงานเพื่อลดต้นทุนการผลิต