แค็ปสโตนชี้แนวโน้มอสังหาฯแนว Branded Residence บูม 5 ปีโตกว่า 155%

20 ก.ย. 2568 | 09:48 น.
อัปเดตล่าสุด :20 ก.ย. 2568 | 09:48 น.

แค็ปสโตน แอสเสทชี้แนวโน้มอสังหาริมทรัพย์แนว Branded Residence บูม ระบุ 5 ปีโตกว่า 155% เผยเตรียมจับมือแบรนด์ระดับโลกรุกตลาดไตรมาส 4

KEY

POINTS

  • ตลาดอสังหาริมทรัพย์แบบ Branded Residence ทั่วโลกมีแนวโน้มเติบโตสูงกว่า 155% ในรอบ 5 ปี (พ.ศ. 2562-2568) โดยมีกลุ่มเป้าหมายเป็นนักลงทุนต่างชาติ Digital Nomad และผู้ที่ต้องการย้ายถิ่นฐาน
  • จุดเด่นของโครงการประเภทนี้คือมาตรฐานการออกแบบและการบริหารโดยแบรนด์โรงแรมระดับโลก ทำให้มีมูลค่าขายต่อและอัตราค่าเช่าสูงกว่าโครงการทั่วไป 30-40%
  • ทำเลที่ได้รับความนิยมสูงในไทยคือภูเก็ตและกรุงเทพฯ ซึ่งเป็นเมืองศูนย์กลางของนักลงทุนและนักท่องเที่ยวระดับบน และกำลังกลายเป็นศูนย์กลางการอยู่อาศัยระยะยาว

นายฐิติวัฒน์ คูวิจิตรสุวรรณ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารบริษัท แค๊ปสโตน แอสเสท เปิดเผยว่า จากข้อมูล Global Branded Residences ระบุถึงแนวโน้มของที่พักแนว Branded Residence ทั่วโลกว่าเติบโตกว่า 155% ในรอบ 5 ปี 2562-2568 

และคาดการณ์ว่าตัวเลขจะมีแนวโน้มเติบโตขึ้นอีกถึง 208% ในรอบปี 2568-2574 โดยโครงการส่วนใหญ่อยู่ในประเทศที่มีความโดดเด่นด้านท่องเที่ยวและศูนย์กลางธุรกิจ เช่น ดูไบ ไมอามี นิวยอร์ค ลอนดอน เซาเปาลูรวมถึงภูเก็ต และกรุงเทพฯ โดยกลุ่มผู้ซื้อและผู้เช่ามีทั้งนักลงทุนต่างชาติ Digital Nomad และผู้ย้ายถิ่นหรือ Re-locator รวมทั้งนักธุรกิจที่ต้องการไลฟ์สไตล์ระดับโลก

สำหรับความแตกต่างของ Branded Residence ที่แตกต่างจากอสังหาริมทรัพย์ทั่วไป เริ่มตั้งแต่กระบวนการออกแบบและก่อสร้าง ที่ยึดมาตรฐานความปลอดภัยและคุณภาพระดับสากล ไม่ได้หยุดเพียงการผ่านเกณฑ์มาตรฐานของไทยแต่ได้รับการยกระดับให้สอดคล้องกับข้อกำหนดสากลอย่างแท้จริง

การบริหารจัดการโครงการอยู่ภายใต้การดูแลของ แบรนด์โรงแรมระดับโลก ที่ให้บริการไม่เหมือนคอนโดทั่วไป รวมถึงสิ่งอำนวยความสะดวกที่ครบครันและมาตรฐานการบริการที่สม่ำเสมอ หลังการขายทุกอย่างจะดำเนินไปตาม Brand Standard ซึ่งช่วยสร้างความเชื่อมั่นในระยะยาว

ความแตกต่างนี้ทำให้ผู้พักอาศัยและนักลงทุนมั่นใจได้ว่าแบรนด์จะช่วยเพิ่มมูลค่าและความน่าเชื่อถือ โครงการ Branded Residence มักมี ราคาขายต่อ (resale value) และ อัตราค่าเช่า สูงกว่าโครงการทั่วไปถึง 30–40%

นอกจากนี้ งานดีไซน์ สถาปัตยกรรม และการเลือกใช้วัสดุยังอยู่ภายใต้การกำกับดูแลของแบรนด์ ทำให้คุณภาพโดยรวมเหนือกว่าตลาดทั่วไปทั้งในแง่ความสวยงาม ความทนทาน และมาตรฐานระดับโลก

นายฐิติวัฒน์ ยังกล่าวต่อไปอีกถึงมุมมองต่อภูเก็ตในช่วงก่อนและหลังเกิดโควิด-19 ว่าก่อนเกิดโรคระบาดนั้น ภูเก็ตมีความเป็นจุดหมายของการท่องเที่ยวหรือ Resort Destination แข่งกับบาหลี แต่หลังจากโควิด-19 แล้วนั้น ภูเก็ตเริ่มกลายเป็นที่หมายตาของ Re-locator มากยิ่งขึ้นกว่าเป็นเพียงสถานที่ท่องเที่ยวเท่านั้น

ปัจจุบันภูเก็ตไม่ได้เป็นเพียงแค่แหล่งท่องเที่ยวริมทะเลอีกต่อไปแต่กำลังพัฒนาไปสู่การเป็นศูนย์กลางการอยู่อาศัยและการลงทุนที่สำคัญของประเทศไทย โดยมีผู้เดินทางเข้ามาทั้งในระยะสั้นและระยะยาว รวมถึงกลุ่มที่ต้องการย้ายถิ่นฐานอย่างถาวร กลุ่มผู้มาเยือนมีความหลากหลายมากขึ้นทั้งนักธุรกิจที่เลือกภูเก็ตเป็นฐานปฏิบัติงานระยะยาว ผู้ประกอบการดิจิทัลที่ทำงานจากระยะไกล (digital nomads) และ relocators ที่มองหาคุณภาพชีวิตที่ดีในสภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อการใช้ชีวิต 

ภูเก็ตจึงกลายเป็นบ้านหลังที่สองสำหรับหลายคน การขยายตัวของตลาดในภูเก็ตสามารถเห็นได้อย่างชัดเจน การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานที่ตอบรับกับความต้องการของกลุ่มผู้พักอาศัยระยะยาว เช่น การลงทุนจากภาครัฐในโครงการคมนาคมและสาธารณูปโภค การเพิ่มขึ้นของโรงเรียนนานาชาติที่รองรับครอบครัวชาวต่างชาติ ศูนย์สุขภาพและเวลเนสที่ทันสมัย สถานที่ออกกำลังกายและกิจกรรมกลางแจ้ง ร้านอาหารนานาชาติที่สะท้อนถึงความหลากหลายทางวัฒนธรรม

การเติบโตนี้ไม่ได้จำกัดอยู่แค่ภาคโรงแรมหรือการท่องเที่ยวเท่านั้น แต่ยังครอบคลุมถึงภาคอสังหาริมทรัพย์ การศึกษา สุขภาพ และบริการต่าง ๆ ที่ตอบโจทย์การใช้ชีวิตอย่างครบวงจร ภูเก็ตจึงไม่ใช่แค่จุดหมายปลายทางแต่กำลังกลายเป็นจุดเริ่มต้นของการใช้ชีวิตในรูปแบบใหม่ที่ผสมผสานระหว่างการพักผ่อน การทำงาน และการอยู่อาศัยอย่างยั่งยืน

ขณะที่ภาพธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ในภูเก็ตนั้น มีความหลากหลายมากยิ่งขึ้น การซื้ออสังหาริมทรัพย์ให้ความสำคัญกับชุมชนแวดล้อมที่เอื้อต่อการใช้ชีวิตประจำวันมากกว่าเรื่องของการอยู่ติดชายหาด ภูเก็ตในปัจจุบันพัฒนาขึ้นเป็นเมืองแบบ Coastal City คือลูกค้ามองหาที่พักที่อยู่ใกล้กับแหล่งอำนวยความสะดวก ไม่ว่าจะเป็นซุปเปอร์มาร์เก็ต โรงเรียนนานาชาติ โรงพยาบาล เวลเนส แหล่งสันทนาการ เพราะส่วนหนึ่งไม่ใช่นักท่องเที่ยวแต่เป็น Re-locator หรือผู้ต้องการย้ายถิ่นฐานซึ่งมีทั้งยุโรป ญี่ปุ่น สหรัฐอเมริกา 

“โครงการ Branded Residence ในไทยเริ่มได้รับความนิยมมากขึ้นโดยเฉพาะในกรุงเทพฯและภูเก็ต ซึ่งเป็นเมืองศูนย์กลางของนักลงทุนและนักท่องเที่ยวระดับบน มีนักลงทุนจากนานาชาติทั้งเอเชีย ยุโรปและตะวันออกกลาง สนใจเข้ามาซื้อเป็นบ้านหลังที่สองหรือเพื่อปล่อยเช่า ส่งผลให้ไทยกำลังกลายเป็นหนึ่งในประเทศผู้นำด้านตลาด Branded Residence ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้”

ทั้งนี้ ล่าสุดบริษัทจึงได้ดำเนินการร่วมมือกับแบรนด์ระดับโลกในการพัฒนา Branded Residence ภายใต้โครงการ Peylaa Phuket โดยปัจจุบันอยู่ระหว่างการตกลงรายละเอียดกับแบรนด์ระดับโลก คาดว่าจะเปิดตัวอย่างเป็นทางการได้ในต้นไตรมาสที่ 4 ของปีนี้