มาตรการภาษีนำเข้าในอัตราสูงของสหรัฐอเมริกา ภายใต้การนำของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ซึ่งรวมถึงภาษี 60% สำหรับสินค้าจีน และล่าสุดการกำหนดอัตราภาษี 36% สำหรับสินค้าไทยที่จะมีผลบังคับใช้ในวันที่ 1 สิงหาคม 2568 กำลังสร้างแรงกระเพื่อมใหญ่หลวงต่อเศรษฐกิจไทย โดยเฉพาะภาคการส่งออกที่เปรียบเสมือนหัวใจสำคัญของประเทศ
การที่สินค้าไทยมีต้นทุนสูงขึ้นและเสียเปรียบด้านการแข่งขันเมื่อเทียบกับคู่แข่งในภูมิภาคอย่างเวียดนามและมาเลเซีย อาจกำลังส่งผลกระทบโดยตรงต่อยอดการส่งออกในอุตสาหกรรมหลัก เช่น อิเล็กทรอนิกส์ อาหารแปรรูป และยางพารา ผลพวงจากกำลังซื้อที่อ่อนแอลงและความเชื่อมั่นทางเศรษฐกิจที่ลดลงจากการชะลอตัวของภาคส่งออกนี้ ไม่เพียงแต่จะกดดันภาพรวมการเติบโตของเศรษฐกิจ
หนึ่งในกลุ่มที่อาจได้รับผลกระทบทางอ้อมอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ต่อมาคือ “ตลาดอสังหาริมทรัพย์” โดยเฉพาะเซ็กเมนต์บ้านระดับบน ที่ผู้ซื้อจำนวนไม่น้อยมีรายได้หรือสายสัมพันธ์ทางธุรกิจกับภาคส่งออกหรืออุตสาหกรรมที่เชื่อมโยงกับการค้าโลก
นายพิเชษฐ วิจิตรชำนาญ รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ กลุ่มธุรกิจ 2 บริษัท พฤกษา เรียลเอสเตท จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ภาษีทรัมป์หรือสงครามการค้าระลอกใหม่อาจไม่ได้กระทบโดยตรงกับลูกค้าในประเทศ แต่ส่งผลผ่าน “ความเชื่อมั่น” ที่เริ่มสั่นไหว โดยเฉพาะกลุ่มที่มีสายสัมพันธ์กับเศรษฐกิจโลก
“ลูกค้าไม่ได้หายไป แต่เริ่ม ‘คิดนานขึ้น’ เพราะเศรษฐกิจเริ่มมีสัญญาณผันผวน พฤติกรรมที่เห็นชัดคือยืดระยะเวลาการตัดสินใจ และต่อรองเพิ่มขึ้น”
นายพิเชษฐยังระบุว่า กลุ่มบ้านเดี่ยวระดับ 10–20 ล้านบาท แม้จะมีกำลังซื้อในตัวเอง แต่ก็มีแนวโน้มจะชะลอการตัดสินใจเพื่อรอดูสถานการณ์ โดยเฉพาะกลุ่มที่เชื่อมโยงกับภาคส่งออก ธุรกิจโลจิสติกส์ หรืออุตสาหกรรมที่อิงกับการค้าระหว่างประเทศ
“ดีมานด์เหล่านี้ยังไม่ได้หายไปไหน แต่คนเลือกที่จะชะลอหรือระมัดระวังการใช้จ่าย และมองหาข้อเสนอพิเศษก่อนตัดสินใจ เช่น โปรโมชั่น หรือแพ็กเกจสินเชื่อที่ดีกว่า”
พร้อมเปิดเผยข้อมูลจากประสบการณ์ของพฤกษา พบว่าลูกค้ากลุ่มบนจะเปลี่ยนพฤติกรรมจากเดิมที่ใช้เวลาในการตัดสินใจซื้อบ้านประมาณ 1-2 เดือน กลายเป็น 3-6 เดือน ซึ่งส่งผลต่ออัตราการดูดซับและกระแสเงินสดในระบบธุรกิจอสังหาริมทรัพย์
อย่างไรก็ตาม นายพิเชษฐมองว่าปัจจัยดังกล่าวยังไม่กระทบถึงขั้นต้องหยุดชะงัก เพียงแต่ผู้ประกอบการจำเป็นที่จะต้องปรับตัว โดยมีการบริหารพอร์ตที่รอบคอบและเลือกพัฒนาโครงการในทำเลที่มีดีมานด์มั่นคง เช่น โซนบางนา หรือพื้นที่เชื่อมต่อเมืองที่ยังมีอัตราการเติบโตสูง และสร้างจุดเด่นที่จะมาดึงดูดผู้บริโภคให้ชัดเจนยิ่งขึ้น
“ปีนี้เราไม่ได้เน้นเปิดโครงการจำนวนมาก โดยมีการควบคุมในฝั่งซัพพลาย เลือกเจาะเฉพาะทำเลที่มีกลุ่มลูกค้าเป้าหมายชัดเจน และเป็นโซนที่ยังมีอัตราดูดซับดี”
อีกทั้ง นายพิเชษฐยังเน้นย้ำว่า ภาษีทรัมป์อาจไม่ใช่สาเหตุโดยตรงของการชะลอในตลาดบ้าน แต่เป็นตัวเร่งที่ทำให้ผู้บริโภคกลุ่มกลางถึงบนเริ่มมอง “ความไม่แน่นอน” มากขึ้น และยิ่งตอกย้ำว่าผู้พัฒนาอสังหาฯ ต้องเพิ่มกลยุทธ์สร้างความมั่นใจให้กับผู้ซื้อในทุกระดับ