มีเสียงสะท้อนจากกลุ่มคนในสังคมที่ หลายๆคนบอกมองไม่เห็นอนาคต ประเทศไทย กำลังถอยหลังเข้าคลอง บางคนบอกว่าไทย เป็นสังคมจมปลัก เศรษฐกิจเคยเติบโตเกิน 5% ต่อปี เดี๋ยวนี้เหลือประมาณ 2% จำนวนประชากรไทยเริ่งทรงตัวและค่อยๆลดน้อยถอยลง
ดร. ประทีป ตั้งมติธรรม ประธานคณะกรรมการบริษัท,ประธานกรรมการบริหาร บริษัทศุภาลัยจำกัด(มหาชน) สะท้อนว่า จากสถิติของกระทรวงมหาดไทย พบว่า
ณ สิ้นปี2566 ประชากรไทยมีท้งัสิ้น 66.05 ล้านคน เป็นคนสัญชาติไทย 65.06 ล้านคน และเป็นต่างชาติประมาณ 990,000 คน คิดเป็ น 1.5% ของประชากรทั้งหมด จากการวิจัยของจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
พบว่าประชากรไทยอาจจะลดลงเหลือ 33 ล้านคน อีก 60 ปีข้างหน้า เมื่อ 20 ปี ที่แล้ว แต่ละครอบครัว จะมีลูก 2-3 คน ปัจจุบัน ครอบครัวไทยทั้งในกรุงเทพฯ และหัวเมืองเมืองใหญ่ทวั่ ประเทศ มีลูกเพียง1 หรือไม่มีเลย
โดยคนที่ไม่มีลูกหันไปเลี้ยงหมาหรือแมวแทน เหตุผลสำคัญที่ คนไทยยุคใหม่มีลูกน้อยลงนั้นหลักๆ คือเรื่องของเศรษฐกิจที่รายได้เพิ่มไม่ทันรายจ่าย ตามมาด้วยเรื่องเวลา การเดินทางไป-กลับที่ทำงาน ที่ใช้เวลามากขึ้น การแยกครอบครัวจากพ่อแม่
ส่งผลให้ไม่มีคนช่วยเลี้ยงลูก และ อุปนิสัยที่หนุ่มสาวให้ความสนใจคือ ความอิสระเสรี การท่องเที่ยว และบันเทิงเพิ่มขึ้น ถึงแม้คนไทยจะมีอายุ ยืนยาวเพิ่มขึ้นแต่คนเกิดใหม่ลดลงมากกว่าจึงทำให้ประชากรคนไทย
โดยรวมลดลง สังคมไทยจึงก าลังเปลี่ยนไปสู่สังคมสูงวัย และประชากรไทยที่ทำงานมีจำนวนลดลง อีกทั้ง ต้องแบกรับภาระเสียภาษีเพื่อเลี้ยงคนชราเพิ่มข้ึนๆ
หลายๆ คนบอกว่า เราก้าวไม่ทันโลกในเรื่องเทคโนโลยีใหม่ๆ การศึกษาไทยมีความล้าหลังมาก ไม่ได้ตอบสนองความต้องการของตลาดแรงงานยุคดิจิทัล หลายๆ คนบอกว่าประเทศไทยไม่ใหญ่พอที่จะเอื้อให้อุตสาหกรรมมีความได้เปรียบในเชิง ปริมาณ (Economy of Scale)อย่างจีน
ที่จะผลิตสินค้าจำนวนมากๆ ซึ่งทำให้ต้นทุนต่อหน่วยลดลงมากได้ จำนวนประชากรไทย เป็นเพียงอันดับ 4 ในอาเซียน ตามหลังอินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์ และเวียดนาม ซึ่งมีจำนวน 275.5, 115.6 และ 98.2 ล้านคน ตามลำดับ
หลายๆคนบอกว่า คนไทย ชอบความสนุกสนานบันเทิง ไม่ขยัน ไม่อดทน ไม่มีระเบียบวินัย ไม่ ชอบเรียนรู้หรือพัฒนาตนเองเหมือนอย่างคนจีน ญี่ปุ่ น เกาหลี หรือเวียดนาม
หลายๆ คนบอกว่า เมืองไทยมีปัญหาซึ่งเป็นหนามยอกอกของประเทศ คือ โกง ทุจริต คอร์รัปชัน นิยมเส้นสาย เล่นพรรคเล่นพวกอยู่เหนือกฎหมายบ้านเมือง คุณธรรมความถูกต้องและไม่ได้ยึดผลประโยชน์ ของประเทศหรือส่วนรวมเป็นหลัก
คนชี้บอกปัญหาของประเทศมีพอสมควร แต่คนที่ช่วยชี้บอกแนวทางวิธีการป้องกันแก้ไขมีไม่มาก เริ่มจากเรื่องการขาดแคลนประชากร
วิธีที่ง่ายที่สุดคือ การนำเข้า หรือ Import เราขาดแคลนแรงงาน เราก็นำเข้าจากประเทศเพื่อนบ้าน เช่น เมียนมา ลาว เขมร ส่วนคนที่เก่งและขยนั โดยเฉพาะคนที่เชี่ยวชาญ เทคโนโลยียุคใหม่ซึ่งเราขาดแคลน ผลิตได้น้อย
อีกทั้งระบบการศึกษาเราก็ไม่เอื้อที่จะทำา ได้ในเวลาส้ันๆ การสร้างมาตรการจูงใจ ส่งเสริมให้คนต่างชาติเข้ามาทำงานและอยู่อาศัยจึงเป็นสิ่งจำเป็น ซึ่งทุก ประเทศไม่ว่าใหญ่หรือเล็กก็พยายามทำอยู่
ตัวอย่างประเทศใกล้เคียงที่ทำอยู่ เช่น สิงคโปร์ ที่มีมาตรการ ส่งเสริมจูงใจต่างๆ ให้เข้าไปอยู่อาศัย และทำงานเพื่อช่วยเสริมสร้างนำพาประเทศก้าวหน้าไปสู่โลกแห่ง อนาคต ส่วนประเทศใหญ่ๆ อย่างสหรัฐฯ สหราชอาณาจักรได้เปรียบที่มีอุตสาหกรรมและ ตลาดแรงงาน ที่เอื้อให้คนเก่งย้ายเข้าไปทำงานได้เป็นจำนวนมาก
ประเทศไทย ไม่ได้มีตลาดแรงงานที่จะรับคนไฮเทคมากมายก็จริงแต่เดี๋ยวนี้คนทำงาน Online กันมากขึ้นทำให้เกิด Digital Nomad จำนวนมาก
ที่หาที่อยู่ที่ตัวเองชอบหรือที่ที่มีสิทธิพิเศษที่จูงใจ ที่จะอยู่อาศัยหรือลงหลักปักฐานในประเทศไทย รวมท้งผู้ประกอบการแขนงต่างๆ คนเก่งและคนขยัน
เหล่านี้นอกจากจะช่วยแก้ปัญหาการขาดแคลนผู้เชี่ยวชาญเทคโนโลยขั้นสูงแล้วยังช่วยพัฒนาประเทศไทยให้ก้าวหน้าไปสู่อนาคต และเป็นตัวอย่างที่ดีแก่หนุ่มสาวคนไทยที่จะเรียนรู้พัฒนาตนเองอีกด้วย
ประเทศไทยเราเน้นที่จะส่งเสริมการลงทุนที่นำเงินลงทุนเข้าประเทศและสร้างงานให้แก่คน ไทยจำนวนมาก แต่เรายังไม่ได้เน้นการส่งเสริมที่มากพอเพื่อจูงใจให้บุคลากรที่มีความรู้ความสามารถ หรือ คนเก่งคนขยัน มาอยู่อาศัยและทำงานในประเทศไทย คนต่างชาติที่เข้ามาอยู่อาศัยและทำงานในประเทศไทย
ถึงแม้เราจะมีมาตรการจูงใจ ให้สิทธิ พิเศษ ลดหย่อนภาษีแต่คนที่ย้ายเข้ามาอยู่อาศัยและทำงานในประเทศไทย แต่ละคนต้องจ่ายค่าใช้จ่าย ประจำวัน ค่าอาหาร ค่าที่อยู่อาศัย ค่ารักษาพยาบาล การเดินทางท่องเที่ยว บันเทิงทำให้เราได้มากกว่า ส่วนลดภาษีหรือสิทธิพิเศษที่เราลดหย่อนให้เขา
การที่ชาวต่างชาติมาทำงาน ผู้ประกอบการแขนงต่างๆ รวมทั้งเศรษฐีนักลงทุน และผู้สูงวัยที่เกษียณแล้วเข้ามาอยู่อาศัยในประเทศไทย ถ้าเขาซื้อที่อยู่อาศัยในไทยด้วย ประเทศไทยก็จะเปรียบเสมือนยิง นกทีเดียวได้ 3 ตัว คือ เราได้ท้งัรายได้จากการส่งออกที่อยู่อาศัย (โดยที่สินค้านั้นยังคงอยู่ในประเทศประเทศ โดยนกทั้ง3ตัวไม่ หายไป) เราได้เงินลงทุน
เพราะเขานำเงินเข้ามาซื้อที่อยู่อาศัยในประเทศไทย และเราได้รายได้การท่องเที่ยว อย่างถาวร ดีกว่าที่นักท่องเที่ยวแต่ละคนจะมาเที่ยวประเดี๋ยวประด๋าวไม่กี่วัน ที่จริง ถ้าเราปรับกฎเกณฑ์
อย่างน้อย เราก็จะได้คนเหล่านี้เพิ่มขึ้นมาก เช่น เขาสามารถเลือกไป อยู่ในอเมริกา อังกฤษ หรือสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ซึ่งสามารถซื้อบ้านได้ง่ายๆ ถ้าเราจะเอื้อให้เขาซื้อบ้านในโครงการจัดสรร เฉพาะในหัวเมือง 20 จังหวัด ที่เรากำหนดไม่เกินร้อยละ 49 ของนิติบุคคลบ้านจัดสรร
ส่วนการถือครองของชาวต่างชาติในอาคารชุด ปรับเกณฑ์จากไม่เกิน 49% เป็น 70% โดยส่วนที่เกิน 49% จะไม่มี สิทธิ์ ในการลงคะแนนเสียงนิติบุคคลอาคารชุด (Voting Right) เป็นต้น ก็จะเป็นมาตรการที่จูงใจคนเหล่านี้ว่าเราไม่ได้กีดกัน และพร้อมต้อนรับให้เขาเข้ามาอยู่เป็นส่วนหนึ่งของสังคมไทย อนึ่งการขยายระยะเวลาการเช่าที่ดินและอสังหาริมทรัพย์
จากไม่เกิน 30 ปีเป็นไม่เกิน 60 ปีก็จะเหมาะสมและเป็นประโยชน์กับทุกฝ่ายที่ถือที่เกี่ยวข้อง ล่าสุด เราประมาณการว่า ประเทศไทยจะมีรายได้จากการท่องเที่ยวปี ละ 2.52 ล้านล้านบาท ด้วยนักท่องเที่ยวประมาณ 36 ล้านคน หรือประมาณ 14 % ของรายได้ประเทศ(GDP) คือ 17.83 ล้านล้านบาท
ถัวเฉลี่ยนักท่องเที่ยวจะใช้จ่ายคนละ 70,000 บาท เราลองคิดดูว่าถ้าประเทศไทยจะมีรายได้จากการที่ชาวต่างชาติเขาซื้อที่อยอยู่ อาศัยในประเทศไทย เท่ากับรายได้จากการท่องเที่ยวปี ละ 2.52 ล้านล้านบาทต่อปี เราต้องหาคนเข้ามาอยู่อาศัย และซื้อ ที่อยู่อาศัย จำนวนกี่คน ?
ถ้าชาวต่างชาติใช้เงินซื้อที่อยู่อาศัยเฉลี่ยหน่วยละ 14 ล้านบาท จะเป็นจำนวนประมาณ 180,000 คนเท่านั้นหรือทุกๆ คนที่ซื้อที่อยู่อาศัยจะเทียบเท่ากับนัก ท่องเที่ยวถึง 200 คน ถ้าเรามีรายได้เข้า ประเทศเพิ่ม ขึ้นถึง 2.52 ล้านล้านบาทต่อปี
ถ้าเป็นอย่างนี้แล้วลองคิดดูว่ารายได้ประเทศหรือ GDP จะเติบโต เกินร้อยละ 10 ต่อปีไปเป็นเท่าไร? คนไทยไม่มีใครคัดค้านการส่งเสริมการท่องเที่ยวที่ให้ช้าวต่างชาติเข้ามาท่องเที่ยวช่วงส้ัน เพราะทำ ให้เราได้เงินที่นักท่องเที่ยวนำมาใช้จ่ายในประเทศไทยแต่ถ้าได้ชาวต่างชาติที่เข้ามาซื้อที่อยู่ถาวร ซึ่ง เทียบเท่านักท่องเที่ยวที่เข้ามาชั่วคราวถึง 200 คน
ตามเหตุผลที่กล่าวมาข้างต้น ย่อมต้องดีกว่าแน่นอน เรามักจะมีคนห่วงและท้วงติงว่า จะเป็นการขายชาติไหม? คนที่ทักท้วงจะบอกว่าขายที่ดินหรือ ขายบ้าน คือขายชาติ แล้วการแต่งงานกับชาวต่างชาติเข้าข่ายขายชาติหรือไม่ แต่ถ้าแต่งกับชาวต่างชาติช่วง สั้นไม่กี่วันก็กลับจะไม่เป็นไรเช่นนั้นหรือ?
จำนวน 180,000 คน เทียบกับประชากร 66ล้านคน จะประมาณ 0.27% ซึ่งน้อยมากและถึงจะไป รวมกับชาวต่างชาติที่มีอยู่แล้ว1.5% ก็ยังคงน้อยมากอยู่ดี 4 เราดูตัวอย่างชาวต่างชาติที่เข้ามาอาศัยในประเทศไทยที่ผ่านมา พอผ่านไปยังรุ่นลูก ก็จะถูก ประเพณีวัฒนธรรมไทยหล่อหลอมกลายเป็นคนไทยไป ทั้งยังช่วยเติมเต็ม ช่องว่างหรือหลุมจำนวนประชากร วัยทำงานที่ลดต่ำลง
อีกทั้งจะได้คนเก่งและขยันเข้ามาเสริมการพัฒนาประเทศให้ เติบโตเนื่องอย่างยั่งยืนเรามาลองดูว่าประเทศอื่นๆ เปิ ดโอกาสให้ชาวต่างชาติเข้าไปอยู่อาศัยในประเทศเขาจำนวน เท่าไหร่บ้าง เช่น ประเทศสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์
มีชาวต่างชาติถึง 8.3 ล้านคน คิดเป็นร้อยละ 88.1% ของ จำนวนประชากรทั้งหมด9.44 ล้านคนปัจจุบันเป็นประเทศที่ชักชวนจูงใจให้เศรษฐีต่างๆ จากทวั่ โลกเข้าไป ลงทุนและซื้อที่อยู่อาศัยได้มากที่สุดในโลก
ทั้งที่อากาศร้อนและแห้งแล้งกว่าไทยมาก แต่คนเลือกไปอยู่ เพราะว่าเป็นประเทศที่ปลอดภัยและมีกฎเกณฑ์ที่เป็นมิตรต่อชาวต่างชาติ ประเทศสหราชอาณาจักร มีชาวต่างชาติ 10.4ล้านคน คิดเป็ น 15.52% ของจำนวนประชากร ทั้งหมด66.97ล้านคน ประเทศฝรั่งเศส มีชาวต่างชาติประมาณ 7 ล้านคน คิดเป็น 10.3% ของจำนวนประชากรทั้งหมด 67.97 ล้านคน เป็นต้น
ประเทศดังกล่าวข้างต้น เขาทำ ไมไม่กลัวว่าจะเป็นการขายชาติ หรือจะถูกต่างชาติฮุบประเทศ แต่ประเทศยังคงเปิดกว้างก็ยิ่งได้คนดีคนเก่งเข้าไปช่วยทำให้ประเทศเจริญเติบโตยิ่งขึ้น
ถ้าเราจะเรียกเก็บค่าธรรมเนียมพิเศษจากรายได้การขายที่อยู่อาศัย 2.5 ล้านล้านบาท 1% ก็ จะเป็นเงินถึง 2.5 หมื่นล้านบาทต่อปี
เราสามารถหา เงินนี้ตั้งเป็นกองทุนช่วยเหลือผู้มีรายได้น้อยถ้าคิดว่าช่วย รายละ 1 แสนบาท จะช่วยผู้มีรายได้น้อยถึงปี ละ 250,000 ครัวเรือน เพราะการมีที่อยู่อาศัยของประชาชน จะ สร้างความมั่นคงเริ่มจากครอบครัวและมีผลต่อเนื่องไปสู่ความมั่นคงของสังคมและประเทศชาติด้วย
ที่กล่าวมาเป็นข้อเสนอแนะที่สำคัญวิธีหนึ่งที่จะปรับโครงสร้างเศรษฐกิจสังคมของประเทศให้ เติบโตอย่างยั่งยืน แต่รัฐบาลยังต้องเป็นผู้นำในการสร้างสรรคพัฒนาสาธารณูปโภค สาธารณูปการต่างๆ ทั่วประเทศให้บังเกิดความสะดวกสบาย ปลอดภัย ที่เอื้อให้ชีวิตประชาชนคนไทยได้อยู่อย่างมีคุณภาพชีวิตที่ดี ยิ่งขึ้น เช่น เส้นทางคมนาคมต่างๆ สนามบิน สถานศึกษา โรงพยาบาล
โดยเฉพาะโครงการที่จะเสริมสร้าง จุดแข็งของทำเลที่ตั้งของประเทศไทยในเชิงภูมิรัฐศาสตร์ที่เป็นศูนยก์ลางของแหลมอินโดจีน เช่น การเร่งรัด โครงการรถไฟความเร็วสูงเชื่อมต่อจากจีนไปยังสิงคโปร์ การส่งเสริมเส้นทางทั้งถนนและรถไฟไปยัง ประเทศเพื่อนบ้านอื่นๆ และต่อเนื่องไปยังตะวันออกกลาง ก็จะจุดประกายความเป็นศูนย์กลางอินโดจีนของ ไทยให้สว่างไหวยิ่งขึ้นโครงการแลนด์บริดจ์ (Land Bridge) ที่เชื่อมฝั่งอันดามันข้ามมายังอ่าวไทย
ที่เสริมเพิ่มศักยภาพ การขนส่งทางเรือระหว่างมหาสมุทรอินเดียและมหาสมุทรแปซิฟิกเพิ่มจุดแข็งข้อต่อรองให้ประเทศไทยดีขึ้นในเวทีโลก และระยะยาวควรพิจารณาว่าการสร้างเขื่อนกันน้ำ ทะเล เพื่อป้องกันน้ำ ทะเลท่วมกรุงเทพฯ
โดย 5 สันเขื่อนยังใช้เป็นเส้นทางเชื่อมต่อ Eastern Seaboard กับจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ และต่อเนื่องกับ Land BridgeและSouthern Seaboard นั้นจะคุ้มค่าหรือไม่หรือมีวิธีอื่นๆ ที่ดีกว่าการส่งเสริมให้ประเทศไทย เป็นสถานที่ๆ จัดแสดง Expo หรือมหกรรมนานาชาติ การแข่งขัน กีฬาประเภทต่างๆ ตลอดจนไปถึง Olympic
การจัดงาน Art Biennale กระจายไปในหัวเมืองต่างๆ เหล่านี้ ล้วนผลักดันให้เกิดการพัฒนาในมิติต่างๆ ตั้งแต่อาคาร สถานที่ การยกระดับมาตรฐาน และการกระตุ้น ประชาชนไทยให้มีความคิดสร้างสรรค์ที่หลากหลาย รัฐบาลควรส่งเสริมโดยใช้สถาปัตยกรรมเป็นตัวจุดประกาย เช่นเดียวกับที่ประเทศสำคัญทั่วโลก ได้ทำมาแล้ว
เช่น การสร้างสนามกีฬาที่ทันสมัย โรงละครขนาดใหญ่ พิพิธภัณฑ์ระดับโลก หอชมวิว ฯลฯ ที่ เป็นจุดขายใหม่ให้กับประเทศไทย พื้นที่ที่ดินของทางราชการที่ว่างอยู่ ทำเลดี ที่จะนำมาพัฒนาให้เป็นจุดขายดังกล่าวข้างต้นได้ดีเช่น ที่ดินท่าเรือคลองเตย ที่ดินแถวจตุจักรของการรถไฟ ฯ ถ้าเราดูตัวอย่างย้อนหลังของประเทศต่างๆ ในโลกที่ใช้สถาปัตยกรรมเป็ นตัวชูโรง
เช่น หอไอเฟลในปารีส ประเทศฝรั่งเศส, เทพีเสรีภาพ ในนิวยอร์ก ประเทศสหรัฐอเมริกา, พระเยซูบนยอดเขาใน รีโอเดจาเนโร ประเทศบราซิล, Opera House ในซิดนีย์ประเทศออสเตรเลีย, Gardens by the Bay ประเทศ สิงคโปร์, พิพิธภัณฑ์สมัยใหม่ต่างๆ Palm Jumeirah และตึกสูงที่สุด Burj Khalifa เมืองดูไบ สหรัฐอาหรับเอ มิเรตส์, ชิงช้าสวรรค์ยักษ์ หรือ London Eye ริมแม่น้า เทมส์ เป็นต้น
การส่งเสริม Soft Power เป็นอีกด้านหนึ่งที่รัฐบาลให้ความสำคัญและส่งเสริม ควรปลูกฝัง ความคิดสร้างสรรค์ ในด้านต่างๆทั้งศิลปกรรม และวิทยาศาสตร์ผ่านกิจกรรมการแข่งขันของเด็กและเยาวชน เพื่อกระตุ้นความสามารถที่ซ่อนเร้นให้ฉายแสงเปล่งประกายเฉิดฉาย สิ่งต่างๆที่กล่าวมาข้างต้นเป็นส่วนหนึ่งของการพัฒนาโครงสร้างของเศรษฐกิจ สังคม และ สิ่งแวดล้อม เพื่อให้ประเทศไทย ก้าวหน้าและเจริญเติบโตอย่างยั่งยืน
ถึงเวลาแล้ว ที่เราจะต้องเปลี่ยนจากมองแคบ คิดใกล้เป็นมองกว้าง คิดไกล ถึงเวลาแล้วที่คนไทยทุกๆ คนจะมีส่วนร่วมในการช่วยคิด และช่วยกันทำให้เราไปสู่สิ่งที่เรามุ่งหวัง คือ ประเทศไทยที่เจริญเติบโตก้าวหน้าอย่างยั่งยืนยิ่งๆ