เจาะกลยุทธ์ดึงมหาเศรษฐีโลกซื้อบ้าน-คอนโดหลังละ1,000 ล้าน

11 เม.ย. 2567 | 03:13 น.

เจาะกลยุทธ์ดึงมหาเศรษฐีโลกซื้อบ้าน-คอนโดหลังละ1,000 ล้าน กลุ่มลูกค้ามหาเศรษฐีไทย -ต่างชาติ ดันขอขยายเพดานต่างชาติถือครองกรรมสิทธิ์ห้องชุดเพิ่มเป็น60%

 

ตลาดอสังหาริมทรัพย์เมืองไทย นอกจากกลุ่มลูกค้าหลักจะเป็นคนไทยแล้ว ยังมีกลุ่มลูกค้าชาวต่างชาติ ที่เข้ามาช่วยดูดซับยอดขายด้วย โดยเฉพาะอสังหาฯ ประเภทคอนโดมิเนียม ซึ่งต่างชาติสามารถซื้อเป็นเจ้าของได้มากถึง 49% ของจำนวนยูนิตในโครงการนั้น ตามพระราชบัญญัติอาคารชุด (ฉบับที่ 4) พ.ศ.2551 มาตรา 19 ทวิ ตลาดชาวต่างชาติจึงนับว่ามีส่วนสำคัญช่วยพยุงตลาดอสังหาฯ ไทยได้เป็นอย่างมาก

ตัวเลขรายงานล่าสุดจากศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ ธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) หรือ REIC ระบุว่า การโอนกรรมสิทธิ์ห้องชุด (คอนโดมิเนียม) ของคนต่างชาติในไตรมาส 4 ปี 2566 จำนวนหน่วย (ยูนิต) ลดลงแต่มูลค่าเพิ่มขึ้น และโดยภาพรวมปี 2566 จำนวนยูนิตเพิ่มขึ้น 25% เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน ซึ่งเป็นผลบวกจากนโยบายในการเปิดประเทศให้ชาวต่างชาติเดินทางเข้ามาท่องเที่ยวในประเทศไทย เพราะประเทศไทยนับเป็นจุดหมายปลายทางยอดนิยมของนักท่องเที่ยวทั่วโลก

นอกจากนี้ที่ผ่านมารัฐบาลยังได้ออกมาตรการ “วีซาฟรีชั่วคราว” ให้กับนักท่องเที่ยวชาวจีน และชาวคาซัคสถาน เป็นระยะเวลา 5 เดือน จนถึงเดือนกุมภาพันธ์ 2567 มีการเพิ่มฟรีวีซ่าให้กับประเทศอินเดีย และไต้หวัน เป็นระยะเวลา 7 เดือน จนถึง 10 พฤษภาคม 2567 และต่อมารัฐบาลได้เปิดฟรีวีซ่าให้กับชาวจีน เริ่มตั้งแต่วันที่ 1 มีนาคม 2567 เป็นต้นไป นับเป็นปัจจัยสำคัญที่อาจช่วยสร้างโอกาสในการซื้อคอนโดของคนต่างชาติเพิ่มขึ้น รวมถึงปัญหาสงครามและการเมืองภายในประเทศในหลายพื้นที่ ส่งผลให้มีความต้องการซื้อที่อยู่อาศัยในประเทศไทยมากขึ้นตลอดช่วงปีที่ผ่านมา

หากมาดูค่าเฉลี่ยของการโอนกรรมสิทธิ์คอนโดฯ ในปีที่ผ่านมา แต่ละไตรมาสมีจำนวนประมาณ 3,600 ยูนิต กลับมามีจำนวนหน่วยใกล้เคียงกับช่วงก่อนเกิดการแพร่ระบาดของไวรัส COVID-19 ที่มีจำนวนอยู่ที่ประมาณ 3,300 ยูนิตต่อไตรมาสแล้ว แสดงให้เห็นว่าสถานการณ์การโอนคอนโดของคนต่างชาติเริ่มกลับเข้าสู่ภาวะที่ดีและเริ่มเป็นปกติแล้ว

แนะรัฐเพิ่มโควตาต่างชาติซื้อคอนโดได้ 60%

แม้ว่าต่างชาติจะซื้อคอนโดเมืองไทยได้มากถึง 49% แต่ดูเหมือนจะไม่เพียงพอต่อความต้องการของลูกค้า เพราะหลายโครงการลูกค้าต่างชาติมีความต้องการซื้อมากกว่าจำนวนโควตาที่ได้รับ โดยเฉพาะคอนโดในทำเลที่ดี ในเมืองตากอากาศสำคัญ หรือคอนโดระดับลักชัวรีที่มีจำนวนจำกัด

นายเบร็นตัน จัสติน มอเรลโล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ไรมอน แลนด์ จำกัด (มหาชน) หรือ RML เปิดเผยว่า กลุ่มลูกค้าต่างชาติมาซื้อคอนโดของบริษัท ส่วนใหญ่มีจำนวนเต็มโควตาตามสัดส่วน 49% ซึ่งอยากให้รัฐบาลมีการเพิ่มสัดส่วนโควตาต่างชาติซื้อคอนโดได้ 60% เพื่อรองรับกำลังซื้อที่เพิ่มมากขึ้น และช่วยกระตุ้นตลาดอสังหาฯ ให้เติบโตมากขึ้น เนื่องจากชาวต่างชาติเป็นกลุ่มกำลังซื้อสูง และไทยเป็นประเทศที่ชาวต่างชาติต้องการเข้ามาอยู่อาศัยเพื่อเป็นบ้านหลังที่ 2 ด้วยศักยภาพของทำเลที่เดินทางเข้ามาสะดวก คนไทยเป็นคนที่เปิดรับชาวต่างชาติทุกประเทศ

ตลาดลักชัวรี

RML เจาะตลาดเศรษฐีทั่วโลก

 สำหรับกลุ่มชาวต่างชาติที่มีความต้องการซื้ออสังหาฯ เมืองไทย มีตั้งแต่ผู้มีรายได้ระดับปานกลางจนถึงมหาเศรษฐี โดยซื้อทั้งคอนโด และวิลล่าระดับราคาหลักพันล้านบาท ซึ่งปัจจุบันกลุ่มที่มีศักยภาพและโอกาสสร้างการเติบโตสำหรับตลาดอสังหาฯ เมืองไทย คือ กลุ่มเศรษฐีมีเงินมากกว่า 50 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือประมาณ 1,750 ล้านบาททั่วโลก มีอัตราการขยายตัวมากถึง 4.2% เฉพาะในประเทศสหรัฐอเมริกามีอัตราการเติบโตถึง 7.2% และตะวันออกกลางมีอัตราการเติบโต 6.2%

จากแนวโน้มและทิศทางดังกล่าว ไรมอน แลนด์จึงวางแผนพัฒนาโครงการกลุ่มลักชัวรีจนถึงอัลตราลักชัวรี เพื่อจับกลุ่มลูกค้าเศรษฐีโดยเฉพาะ เพราะนอกจากเป็นกลุ่มที่มีความต้องการสูง ยังพบว่าปัจจุบันซัพพลายสินค้าดังกล่าวมีจำกัด  บริษัทจึงวางแผนพัฒนาโครงการระดับลักชัวรีและซุปเปอร์ลักชัวรีอย่างต่อเนื่อง ในปีนี้มีแผนพัฒนา 3 โครงการ มูลค่ากว่า 16,000-17,000 ล้านบาท ได้แก่ 1.โครงการวิลล่า หาดกมลา จังหวัดภูเก็ต มูลค่า 1,200 ล้านบาท ราคาขาย 450-1,000 ล้านบาท จำนวน 25 ยูนิต 2.โครงการบ้านเดี่ยวและทาวน์โฮมมูลค่า 3,000 ล้านบาท เป็นบ้านเดี่ยว 2 ยูนิต ทาวน์โฮม 3 ยูนิต ในซอยสุขุมวิท 28 และ 3.โครงการบ้านเดี่ยว 1 หลังริมแม่จํ้าเจ้าพระยา มูลค่ากว่า 1,000 ล้านบาท ซึ่งบ้านเดี่ยวดังกล่าวมีกลุ่มลูกค้าทั้งชาวไทยและต่างชาติให้ความสนใจและพูดคุยอยู่ 4-5 ราย

บ้านระดับลักชัวรีโตต่อเนื่อง

 สอดคล้องกับข้อมูลจาก ไนท์แฟรงค์ ประเทศไทย ที่พบว่า ตลาดบ้านระดับลักชัวรี ราคา 10 ล้านบาทขึ้นไปในปีนี้ มีทิศทางเป็นบวก เนื่องจากเป็นกลุ่มราคาที่ได้รับผลกระทบจากปัจจัยลบต่าง ๆ ในด้านเศรษฐกิจที่น้อยที่สุด ส่งผลให้ช่วงครึ่งหลังปี 2566 ดีเวลลอปเปอร์ยังมีการเปิดตัวโครงการใหม่จำนวนมาก ทำให้ตลาดบ้านระดับราคา 10 ล้านบาทมีจำนวนถึง 30,974 ยูนิต และมียูนิตขายสะสมอยู่ที่ 23,657 ยูนิต คิดเป็นอัตราการขาย 76.4% ปรับตัวลดลงเล็กน้อยจากช่วงครึ่งปีแรก  

 โดยตลาดบ้านระดับลักชัวรีที่มีความต้องการในตลาดมากที่สุด 3 อันดับแรก คือ กลุ่มบ้านราคา 10-20 ล้านบาท อยู่ที่ 1,244 ยูนิต รองลงมาอยู่ในกลุ่มราคา 21-30 ล้านบาท และ 31-40 ล้านบาท บ้านที่มีอัตราการขายสูงที่สุด อยู่ในราคา 71-99 ล้านบาท มีอัตราการขาย 90% กลุ่มบ้านในราคา 31-40 ล้านบาท มีอัตราการขาย 84% บ้านใราคา 10-20 ล้านบาท และ มากกว่า 100 ล้าน มีอัตราการขาย 78% เท่ากัน 

  เจาะกลยุทธ์เอาใจเศรษฐี

 ปัจจัยหลักในการตัดสินใจซื้อบ้านระดับลักชัวรี คือ ต้องอยู่ใกล้สิ่งอำนวยความสะดวกที่ครบครัน มีการเดินทางเข้าสู่ตัวเมืองที่ง่ายและรวดเร็ว ต้องมีบริการหลังการขายที่ดี และฟังก์ชันของบ้านที่ต้องตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ของผู้อยู่อาศัย อยู่ในทำเล prime location ที่เป็นที่นิยม มีความสะดวกครบครัน และสามารถสร้างจุดขายได้ เพื่อสร้างความประทับใจและตอบสนองต่อความต้องการของลูกค้า จากการสำรวจพบว่าบ้านระดับลักชัวรีที่มีโลเคชั่นใกล้โรงเรียนนานาชาติมีความต้องการค่อนข้างสูง เนื่องจากนักลงทุนเห็นถึงผลตอบแทนจากการปล่อยเช่าที่สูงไม่แพ้การลงทุนในคอนโด

  นายยงยุทธ ชัยพรหมประสิทธิ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท สโคป จำกัด กล่าวว่า ปัจจัยในการซื้อขายโครงการระดับอัลตราลักชัวรี  ที่มีมูลค่าโครงการโดยรวมมากกว่า 1,000 ล้านบาทขึ้นไป นั้น ลูกค้ามีพฤติกรรมการตัดสินใจซื้อ ไม่ได้ใช้เพียงความต้องการ (Need) หรือความอยากได้ (Want) เป็นสำคัญแต่โครงการต้องตอบโจทย์ความชื่นชอบ ความต้องการ ไลฟ์สไตล์ และรสนิยมเฉพาะตัวของผู้ซื้อได้อย่างสมบูรณ์แบบ  เป็นการตัดสินใจซื้อที่เกิดขึ้นจากการใช้อารมณ์ในการตัดสินใจ และรูปแบบของโครงการต้องสามารถสะท้อนเอกลักษณ์ของผู้อยู่อาศัยได้อย่างชัดเจน (Desire & Individuality) ด้วย

“โครงการ สโคป ทองหล่อ ทุกยูนิต ถูกสร้างสรรค์ขึ้นในรูปแบบเพนท์เฮ้าส์ 100% (All-Penthouse Residence) เต็มพื้นที่ 1 ชั้นต่อ 1 ยูนิต มอบความลักชัวรีที่มาในรูปแบบของพื้นที่ใช้สอยที่ตอบโจทย์การอยู่อาศัยได้ไม่ต่างจากการอยู่อาศัยในโครงการแนวราบ แต่เหนือกว่าด้วยทำเลใจกลางเมือง ในแบบที่ไม่เคยมีที่อยู่อาศัยโครงการใดทำได้มาก่อน ด้วยพื้นที่ใช้สอยเริ่มต้นสูงถึง 415 ตารางเมตร  พร้อมฟังก์ชั่นเริ่มต้นที่ 4 ห้องนอน 4 ห้องนํ้า และ 1 ห้องพาวเดอร์ ในราคาเริ่มต้น 200 ล้านบาท”

 นอกเหนือจากปัจจัยความเป็นส่วนตัวและทำเลที่ตั้ง สโคป ยังคงมุ่งมั่นพัฒนาโครงการด้วยการเน้นคุณภาพพรีเมียมมาตรฐานระดับโลก ทั้งในเรื่องการออกแบบที่เป็นไปตามมาตรฐานระดับอินเตอร์เนชั่นแนลโดยผู้ออกแบบที่มีชื่อเสียงระดับโลกอย่าง Thomas Juul-Hansen ที่เคยฝากผลงานการออกแบบภายในโครงการ “สโคป หลังสวน” ให้เป็นโครงการที่ราคาต่อตารางเมตรสูงถึง 1 ล้านบาทมาแล้ว รวมถึงบริการ และสิ่งอำนวยความสะดวก รวมถึงการดูแลบริหารและการบริการ ส่งผลให้ทำปิดการขายได้แล้ว10 ยูนิต หรือคิดเป็นประมาณ 55% ของจำนวนทั้งหมด นับตั้งแต่เปิดตัวอย่างเป็นทางการ และคาดว่าจะสามารถปิดการขาย 100% ได้ภายในสิ้นปี 2024 นี้

               นี่คือกลยุทธ์ ดึงกำลังซื้อลูกค้ามหาเศรษฐีระดับโลก ของบิ๊กเนมลักชัวรี !!!