นายเกรียงไกร ไชยศิริวงศ์สุข ผู้อำนวยการการท่าเรือแห่งประเทศไทย (กทท.) เปิดเผยว่า ความคืบหน้าติดตามการก่อสร้างโครงการพัฒนาท่าเรือแหลมฉบังระยะที่ 3 จังหวัดชลบุรี มูลค่าโครงการรวมประมาณ 114,000 ล้านบาท แบ่งเป็น กทท. 47% และเอกชน 53% โดยเป็นการพัฒนาและดำเนินการในส่วนของท่าเทียบเรือ F เป็นลำดับแรก ระยะเวลาสัมปทาน 5 ปี
นายเกรียงไกร กล่าวต่อว่า โครงการพัฒนาท่าเรือแหลมฉบังระยะที่ 3 งานก่อสร้างทางทะเลในช่วง 2 เดือนที่ผ่านมา (พฤศจิกายน – ธันวาคม 2566) โดยเดือนพฤศจิกายน 2566 ตามแผนการปฏิบัติงานปัจจุบัน 1.90% ต่อเดือน ทำได้ 2.08% ต่อเดือน ส่วนเดือนธันวาคม 2566 ตามแผนการปฏิบัติงานปัจจุบัน 1.99% ต่อเดือน ทำได้ 2.00% ต่อเดือน นับเป็นสัญญาณที่ดีขึ้นที่การก่อสร้างมีความคืบหน้ามากกว่าแผนงานประจำเดือน
ขณะที่ความคืบหน้าของโครงการฯ ณ เดือนธันวาคม 2566 กิจการร่วมค้าฯ สามารถดำเนินงานได้แล้วที่ 17.34% ซึ่งล่าช้ากว่าแผนในภาพรวมโครงการอยู่ 1.67%
อย่างไรก็ตามทางกิจการร่วมค้า CNNC ได้ติดตามเร่งรัดดำเนินงานให้แล้วเสร็จเพื่อให้สามารถส่งมอบงานพื้นที่ถมทะเลพื้นที่ 3 ให้ กทท.ได้ภายในเดือนมิถุนายน 2567 ตามที่กำหนด โดยกิจการร่วมค้าฯ ได้นำเครื่องจักรทางน้ำเข้ามาปฏิบัตงานเพิ่มเติมอีกจำนวน 30 ลำ จากเดิมที่มีอยู่แล้วจำนวน 37 ลำ รวมเป็นจำนวนทั้งสิ้น 67 ลำ
นายเกรียงไกร กล่าวต่อว่า ส่วนงานที่ 2 งานก่อสร้างอาคารท่าเทียบเรือระบบถนนและระบบสาธารณูปโภค วงเงิน 7,387 ล้านบาท ปัจจุบันกทท.อยู่ระหว่างตรวจสอบเอกสารรายละเอียดตามพ.ร.บ.จัดจ้างฯ ภายหลังจากกทท.ประกาศประกวดราคาหาผู้รับจ้าง ขณะนี้ได้ปิดรับซองการประมูลแล้ว พบว่ามีเอกชนสนใจ จำนวน 4 ราย ได้แก่
"งานที่ 2 ของโครงการ คาดว่าจะได้ข้อสรุปภายในปลายเดือนมกราคม-ต้นเดือนกุมภาพันธ์ 2567 หากได้ผู้ชนะการประมูลแล้วจะเริ่มลงนามสัญญาและดำเนินการให้ผู้รับเหมาเข้าพื้นที่ก่อสร้างประมาณภายในเดือนเมษายน 2567 ระยะเวลาการก่อสร้างราว 3 ปีกว่า หรือ 1,260 วัน โดยจะเร่งรัดให้ทันต่อการส่งมอบพื้นที่ให้กิจการร่วมค้า GPC ไม่เกินพฤศจิกายน 2568 ตามสัญญา"
นายเกรียงไกร กล่าวต่อว่า ในปัจจุบันซึ่งได้มีการเริ่มปฏิบัติงานตั้งแต่วันที่ 1 พฤศจิกายน 2566 ที่ผ่านมารวมถึงกิจการร่วมค้าฯ ได้นำบุคลากรเข้ามาปฏิบัติงานเพิ่มเติมอีก จำนวน 120 คน จากเดิมมีบุคลากรจำนวน 400 คน รวมมีบุคลากรปฏิบัติงานทั้งสิ้นจำนวน 520 คน
ทั้งนี้เมื่อพัฒนาโครงการแล้วเสร็จจะเพิ่มขีดความสามารถในการรองรับตู้สินค้าจาก 11 ล้าน ทีอียูต่อปี เป็น 18 ล้าน ทีอียูต่อปี เพิ่มสัดส่วนสินค้าผ่านท่าทางรถไฟของ ทลฉ. จากร้อยละ 7 เป็นร้อยละ 30 เพิ่มขีดความสามารถในการรองรับรถยนต์จาก 2 ล้านคันต่อปี เป็น 3 ล้านคันต่อปี ช่วยสนับสนุนการลดต้นทุน การขนส่งโดยรวมของประเทศจากร้อยละ 14 ของ GDP เหลือร้อยละ 12 ของ GDP ประหยัดค่าขนส่งประมาณ 250,000 ล้านบาท
นอกจากนี้กทท.ยังเร่งรัดให้เอกชนเพิ่มจำนวนเครื่องจักรทางน้ำและบุคลากรแล้ว กทท. ยังได้มีการเร่งรัดให้ผู้รับจ้างนำเรือขุดลอกลำที่เป็นเจ้าของ (Owner) เข้ามาปฏิบัติงานทันที อีกทั้งยังให้ทำการสรุปข้อมูลความคืบหน้ารายวัน รายสัปดาห์ และวางแผนปฏิบัติงานรายวัน เพื่อให้เป็นไปตามมาตรฐาน EHIA โดยให้รายงานต่อผู้ควบคุมงานและคณะทำงานติดตามการก่อสร้างของโครงการฯ
อย่างไรก็ตามหากมีปัญหาไม่สามารถดำเนินการได้ตามแผนในแต่ละวันทางผู้รับจ้างมีหน้าที่เสนอแนวทางการแก้ไขปัญหา และแจ้งให้ผู้ควบคุมงานและ กกท. ทราบว่าจะมีแนวทางการแก้ไขปัญหาอย่างไรเพื่อให้การดำเนินงานเป็นไปได้อย่างมีประสิทธิภาพ
รวมถึง กทท. ยังคงเน้นย้ำกำชับติดตามให้กลุ่มกิจการร่วมค้าฯ และผู้ควบคุมงานให้ดำเนินการตามแผนปฏิบัติงานอย่างเคร่งครัดเพื่อให้การทำงานเป็นไปด้วยความสอดคล้องต่อเนื่องเพื่อให้สามารถส่งมอบงานตามแผนที่กำหนด เพื่อสร้างความมั่นใจให้กับนักลงทุนต่อไป