หลังต่อสู้จากสถานการณ์โควิดมากว่า2ปี ตลาดอสังหาริมทรัพย์ยังคงเผชิญปัจจัยเสี่ยงภาวะเงินเฟ้อ การปรับขึ้นของอัตราดอกเบี้ย เศรษฐกิจโลก ส่งผลให้ กำลังซื้อที่มีอยู่อาจชะลอการตัดสินใจเพื่อรอดูสถานการณ์ ท่ามกลางการแข่งขันรุนแรงของตลาดอสังหาริมทรัพย์ที่มีสต็อกเก่ารอระบายและการเปิดตัวโครงการใหม่ เข้าเติมสู่ตลาด ไม่เพียงผู้ประกอบการรายใหญ่เท่านั้น ค่ายเล็ก อสังหาริมทรัพย์หน้าใหม่ ต่างขยับตัวกันอย่างคึกคักเพื่อรองรับกำลังซื้อ
สะท้อนภาพใหญ่ระดับโลก
สอดคล้องกับ นายเทธดา อุชุปาละนันท์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท สวอน เอสเตท จำกัด อสังหาริมทรัพย์แบรนด์น้องใหม่ แต่มากประสบการณ์ เพราะผู้คลุกคลีอยู่ในแวดวงอสังหาริมทรัพย์ มาเกือบ 20 ปี ได้ฉายภาพตลาดอสังหาริมทรัพย์ ภายใต้ ข้อปัจจัยเสี่ยง ผ่าน”ฐานเศรษฐกิจ”ว่า
วิกฤตครั้งนี้ภาพใหญ่ระดับโลกอสังหาริมทรัพย์ได้รับผลกระทบต้นทุนดอกเบี้ยเงินเฟ้อ ทั่วโลก อย่างจีนอยู่ระหว่างเฝ้าติดตาม หนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้(NPL) ที่ต้องจับตาว่าจะหยุดผ่อน หยุดซื้อกันมากน้อยแค่ไหน แต่ไทยยังดีมีเรื่องความหวังของการท่องเที่ยว การ เริ่มเปิดประเทศประเมินว่า ปีหน้ากลางปีเป็นต้นไปอารณ์การตัดสินใจจะดีขึ้น
อย่างไรก็ตาม กำลังซื้อจะกลับสู่ตลาดหรือไม่ ขึ้นอยู่กับ อารมณ์ ของตลาดทั้งผู้ประกอบการ และผู้บริโภค อารมณ์ความหวาดระแวง ว่าปัจจัยลบจะขยายวงไปมากกว่านี้หรือไม่ นาย เทธดา อธิบายว่า ช่วงสองปีสถานการณ์โควิด และมีการปรับตัวให้ผ่านกันมาได้ แต่ปัจจุบันมีเรื่องอัตราดอกเบี้ยที่มีแนวโน้มเพิ่มขึ้น
ในส่วนของบริษัท ได้พัฒนาโครงการเน้นความมั่นคงเป็นหลักค่อยๆปรับแผนงานทำโครงการให้สอดคล้องกับสภาวะเศรษฐกิจ เพราะยังไม่มีใครฟันธงว่าตลาดอสังหาริมทรัพย์จะฟื้นได้จริงและไม่แน่ชัดว่าจะเกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝันขึ้นอีก ดังนั้น บริษัทจึงยึดหลักเรื่องของความมั่นคงมาเป็นอันดับแรก
จากมือปรับโครงสร้างหนี้สู่นักพัฒนา
สังเกตได้ว่า ผู้ประกอบการทำโครงการเวลามีปัญหาไม่ได้กระทบเฉพาะผู้ประกอบการแต่จะกระทบไปที่ลูกค้าด้วยโครงการที่ไม่เป็นไปตามแผนไม่ว่าจะชะลอก่อสร้างช้าหรือว่า ไปจนถึงสร้างให้เสร็จร้างมีผลกระทบต่อลูกค้าอย่างมาก ความรู้สึกแผลในใจลูกค้าจะจดจำไปตลอดนี่คือภาพที่ นายเทธดา เห็นมาตั้งแต่ปี 2540 ปีต้มยำกุ้ง หลังเรียน การเงินไฟแนนช์ ต่อด้วยบริหารธุรกิจMBA กลับมา
แต่กลับต้องมาทำงานปรับโครงสร้างหนี้ ปัญหาของไฟแนนซ์ปี2540 อยู่ที่ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ ที่เห็นจะมีแบรนด์ใหญ่ที่มีการปรับตัว อาทิ บริษัทแลนด์แอนด์เฮ้าส์ บมจ.เอพี ไทยแลนด์ บ้านสร้างเสร็จก่อนขายไม่เห็นอย่าซื้อ
จากประสบการณ์ ช่วยปรับโครงสร้างหนี้พูดคุยกับสถาบันการเงิน แก้ไขเศรษฐกิจ ที่ส่วนใหญ่เป็นธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ทำให้เก็บเกี่ยวประสบการณ์มองเห็นโอกาส โดย ปี 2545 ถึงปี2546 จึงได้เริ่ม ทำโครงการทดลอง สร้างโลว์เฮ้าส์ บ้านทาวน์เฮ้าส์ชั้นเดียวราคา 6-7แสนบาทต่อหน่วยที่จังหวัดสมุทรปราการ
โดยขอยืมที่ดินแปลงเล็กของที่บ้าน พัฒนาคราวละ 5 หลังไม่เกิน 10หลัง เมื่อขายหมดก็ซื้อที่ดินในระแวกเดียวกัน ขยายโครงการออกไป โดยไม่ได้ขออนุญาตจัดสรรที่ดิน ซึ่งการพัฒนาโครงการขนาดเล็กคราวละไม่เกิน 9หลังทำให้เป็นอาณาจักรใหญ่ ในปัจจุบัน
โดยเฉพาะโซนของถนนบางนา-ตราด และลูกค้าให้ความมั่นใจเรื่อยมา เพราะเป็นทั้งผู้ประกอบการ ที่ปรึกษา และเป็น ช่างประจำหมู่บ้าน ซึ่ง ให้บริการเกินกว่าสัญญา เรียกว่ามีความสุขที่ได้ช่วยเหลือลูกบ้าน
ชญาดา @เวิร์คโครงการแรก
หลังจาก พัฒนาโครงการในรูปแบบดังกล่าว เพียงลำพังมานานกว่า10ปี เริ่มก่อตั้งจดทะเบียน เป็นบริษัทพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ กับหุ้นส่วน ภายใต้ชื่อ บริษัท สวอน เอสเตท จำกัด และจังหวะเห็นแปลงที่ดินทำเลบางนา กิโลเตรที่5 เนื้อที่10ไร่ ทำเลศักยภาพ จึงซื้อที่ดินเก็บไว้ 3ปีนับจากปี2554 และพัฒนาในทำเลต่างๆ
ขณะเดียวกันได้ตัดที่ดินขายในทำเลกลางเมืองกรุงเทพมหานครให้กับ บิ๊กแบรนด์ ที่มาติดต่อซื้อโดยปี 2557 ได้ เริ่มโครงการ ชญาดา @เวิร์คบางนา โฮมออฟฟิศแห่งแรกเริ่มขออนุญาตและก่อสร้างปี 2558 และต่อด้วยโครงการ ชญาดา บิซ เพลส ค่อนข้างประสบความสำเร็จเพราะผู้บริโภคนิยมเพราะเป็นได้ทั้งที่อยู่อาศัยและการเปิดกิจการทำธุรกิจในที่เดียวกัน
โฮมออฟฟิศเปลี่ยนบ้านเป็นเงิน
โดย ขยายความว่า โฮมออฟฟิศ เป็นได้ทั้งสองแบบในเวลาเดียวกัน ทั้งทำธุรกิจและ อยู่อาศัยได้ เมื่อเทียบกับ ทาวน์โฮม อาจทำงานที่บ้าน ได้แต่ แต่โฮมออฟฟิศเป็นทำธุรกิจได้มากกว่าสามารถเปลี่ยนบ้านเป็นเงินจากการทำธุรกิจ และเมื่ออยู่ในโครงการเดียวกัน
นั่นหมายถึงการเป็นศูนย์รวมของแหล่งธุรกิจ ที่ผู้คนจะเดินทางติดต่อถึงกันได้โดยไม่จำเป็นต้องเดินทางไปยังศูนย์การค้า จึงจุดประกายให้บริษัท มุ่งพัมนาโครงการโฮมออฟฟิศเป็นหลัก ที่ผู้ประกอบการรายใหญ่ไม่ลงมาเล่น
“รูปแบบโฮมออฟฟิศเราสามารถปรับเปลี่ยนการใช้งาน ทำประโยชน์ของตัวบ้านให้นอกเหนือกว่าที่อยู่อาศัยอย่างเดียว”
ขณะทำเลบางนา เหมือนไข่แดง ปัจจุบันความเจริญกระโดดเข้ามา เป็นถนนสายลงทุน เชื่อมเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก(อีอีซี) รถไฟฟ้าสายสีเหลือง โมเรลเข้าสุวรรณภูมิที่มีตัวสถานีอยู่ปากซอยที่ตั้งโครงการ และปลายปีนี้ บริษัทมีแผนขยายโครงการโอมออฟฟิศระดับพรีเมียม
ไปยังทำเลศักยภาพโซนตะวันออกของกรุงเทพมหานครอีกแห่งซึ่งเป็นทำเลเชื่อมต่อกับบางนาติดถนน เฉลิมพระเกียรติ ร9 ซอย67 ในราคา 14ล้านบาท จำนวน44หน่วย กลุ่มลูกค้าอาจน้อย แต่พื้นที่ที่จะพัฒนามีจุดแข็ง มีรถไฟฟ้าสายสีเหลืองพาดผ่าน การเดินทางเข้าออกสะดวกติดถนนสายหลักและที่นี้มีเป้าหมายจะเป็นศูนย์รวมของธุรกิจ ทางการแพทย์ สถานความงาม ศูนย์สุขภาพชั้นนำ และธุรกิจหลากหลาย
“โครงการใหม่จะเป็นกลุ่ม พรีเมียมเพราะติดถนน มองกลุ่มลูกค้าอย่างวิชาชีพเฉพาะแพทย์ นักบัญชี สำนักทนายความ เสริมความงาม โดยมองว่า ช่วงก่อนก่อนโควิด ทุกอย่างวิ่งเข้าศูนย์การค้าแต่ปัจจุบัน ทุกอย่างเปลี่ยน ทุกคนเริ่มมองหาที่อยู่เฉพาะตัวทำธุรกิจได้การโฆษณาใช้ออนไลน์ทั้งหมดเป็นรูปแบบที่ใช้บุกตลาด ”
เจาะตลาดหลบรายใหญ่
ขณะกลุ่มเป้าหมายจะไม่เจอกับรายใหญ่ เพราะ บริษัทเจาะ กลุ่มอายุ35-53 ปี ต้องการ ที่อยู่อาศัยทำธุรกิจที่มีการตัดสินใจแล้วว่าจะลงทุนอะไรหลังจากนี้แนวคิดการพัฒนาโครงการนายเทธดาย้ำว่า บริษัท จะเข้าไปในซอกที่รายใหญ่ไม่เข้ามาเดินหากเปรียบ ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ เสมือนโอ่ง เมื่อใส่ลูกบอล ลงไป ซึ่งหมายถึงบริษัทใหญ่ในพื้นที่โอ่งก็ยังมี ช่องว่างให้ลูกมะนาวอย่างบริษัทรายเล็กหรือบริษัทน้องใหม่เข้าไปได้ เช่นเดียวกัน
สำหรับทำเลบางนา เป็นศูนย์กลางความเจริญแห่งใหม่ทางภาคตะวันออกของประเทศ ที่ เติบโตแบบก้าวกระโดด มีโครงการขนาดใหญ่ของรัฐและเอกชนลงทุน ที่ในอนาคตจะเป็นทั้งโอกาสและทำเลได้เปรียบที่บริษัทคุ้นชิน