วันนี้ 15 สิงหาคม 2567 ณ รัฐสภา ได้มีการประชุมสภาผู้แทนราษฏร พิจารณารายงานผลการดำเนินการของ คณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) ประจำปี 2566 โดยนายแพทย์สรณ บุญใบชัยพฤกษ์ ประธานบคณะกรรมการ (บอร์ด) กสทช. เดินทางมาชี้แจงด้วยตัวเอง แต่ยังคงมีประเด็นที่ สภาผู้แทนราษฏร (ส.ส.) ได้หยิบยกขึ้นมาอภิปรายคือ การดำรงตำแหน่งของนายแพทย์สรณ ว่าได้เข้าข่ายขาดคุณสมบัติและมีลักษณะต้องห้าม ตามกฎหมาย
นายวีรภัทร คันธะ ส.ส.สมุทรปราการ พรรคประชาชน กล่าวว่า “พรรคการเมืองถอดถอนง่ายในขณะที่ตำแหน่งสถานะขององค์กรอิสระในประเทศไทยอย่างบอร์ดกสทช. ที่แม้จะผ่านการพิจารณาหลายขั้นตอนจากหน่วยงานตรวจสอบหลายฝ่ายที่ชี้ชัดแล้วว่า การดำรงตำแหน่งเข้าข่ายผิดคุณสมบัติ แต่ก็ยังอยู่ได้” นายวีรภัทร กล่าว
ส.ส.พรรคประชาชน ลงรายละเอียดว่า ประเด็นการขาดคุณสมบัติ ของนายแพทย์ สรณ ประธานกสทช.นั้น หากพิจารณาตามเอกสารสอบข้อเท็จจริงหลังจากที่คณะกรรมาธิการการเทคโนโลยีสารสนเทศ การสื่อสาร และการโทรคมนาคม วุฒิสภา หรือ กมธ.ไอซีที ได้มีผลสอบชี้ชัดว่า ประธานกสทช. เป็นผู้มีลักษณะต้องห้ามตามมาตรา 7 หรือกระทำการอันเป็นการฝ่าฝืนมาตรา 8 และมาตรา 18 รวมทั้งมิได้ปฏิบัติหน้าที่เต็มเวลาตามมาตรา 26 พ.ร.บ.องค์กรจัดสรรคลื่นความถี่ 2553
ทั้งนี้ ที่ผ่านมา กมธ.ไอซีที ได้โดยได้ยื่นตรวจสอบ 3 กรณี
1. ประธาน กสทช.ยังมีสถานะ “เป็นพนักงานมหาวิทยาลัย” ทำหน้าที่ตรวจและรักษาคนไข้ผู้ป่วยได้รับค่าตอบแทนรายชั่วโมง ของคณะแพทย์ศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี มาตลอดจนถึงปัจจุบัน
2. ประธาน กสทช. ยินยอมให้เสนอชื่อตนเองต่อที่ประชุมใหญ่สามัญประจำปีของ ธนาคารกรุงเทพ เพื่อให้ผู้ถือหุ้นเลือกและยอมรับการเป็นกรรมการของธนาคารดังกล่าว พร้อมทั้งมิได้ลาออกจากตำแหน่ง ถึงแม้จะได้รับการโปรดเกล้ารับตำแหน่ง กรรมการ กสทช.ก็ตาม
3. ประธาน กสทช. ยังคงมีสถานะเป็นผู้บริหารหรือพนักงานของมหาวิทยาลัยมหิดล ที่เป็นผู้รับใบอนุญาตประกอบกิจการโทรทัศน์ช่อง รามาชาแนล ก่อนเข้ารับตำแหน่ง กรรมการ กสทช.
ดังนั้น ภายหลังที่ทราบความเห็นและมติของ กมธ.ไอซีที ว่านายแพทย์สรณเข้าข่ายขาดคุณสมบัติและมีลักษณะต้องห้ามก็ได้มีการทำหนังสือถึงนายพรเพชร วิชิตชลชัย ประธานวุฒิสภาพิจารณาแล้ว แต่ยังไม่มีการดำเนินการใด ๆ นานนับเดือน และยังตั้งข้อสังเกตว่าการที่นายพรเพชรไม่ดำเนินการใดๆ จนกระทั่งหมดวาระไป จนถึงปัจจุบัน ยังมิได้ดำเนินการตามตามอำนาจผูกพันตามกฎหมายพ.ร.บ. องค์กรจัดสรรคลื่นความถี่ฯ มาตรา 7 ข. (12) มาตรา 8 มาตรา 26 ประกอบกับมาตรา 18 และมาตรา 20
“ท่านยังคงดำรงตำแหน่งทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นถือเป็นการเพิกเฉยต่อจริยธรรมคุณธรรม แม้ว่าจะมีเอกสารหลักฐานเกี่ยวกับการรับเงินค่าตอบแทนในการรักษาผู้ป่วยคนไข้ของโรงพยาบาลรามามีเอกสารด้านการเสียภาษีของกรมสรรพากร หากวันนี้ยังมีนายกรัฐมนตรีอยู่ ไม่เกิดสุญญากาศคงจะต้องมีการยื่นเรื่องขอให้นายกรัฐมนตรีปลดนายแพทย์สรณออกจากตำแหน่ง เพราะหากปล่อยให้ดำรงตำแหน่งต่อไปอาจจะก่อให้เกิดความเสียหายในอนาคต ซึ่งจะทำให้เรื่องที่มีการลงมติไปแล้วเป็นโมฆะได้”
นอกจากนี้ นายวีรภัทร ยังได้อภิปรายถึง ประเด็นการทำงาน ที่ไม่มีประสิทธิภาพของบอร์ดกสทช. โดยได้อ้างอิงถึงรายงานประจำปี 2566 ตามที่คณะกรรมการติดตาม และประเมินผลการปฏิบัติของกสทช. หรือ กตป. ที่ระบุว่า การทำงานของบอร์ดกสทช.ชุดนี้ไม่มีประสิทธิภาพ จากการประชุมล่าสุดมีเรื่องรอการพิจารณา 77 เรื่อง แต่มีวาระค้างการพิจารณา 34 เรื่อง ขณะที่วาระค้างพิจารณาเกินครึ่งหนึ่งเป็นวาระที่สำคัญ เช่น
โดยขณะนี้ก็น่าจะครบวาระสำหรับการรักษาการแล้ว และในที่สุดนายแพทย์สรณก็ผลักดันให้นายไตรรัตน์ขึ้นดำรงตำแหน่งเป็นตัวจริง แต่ที่ประชุมบอร์ดกสทช.วันที่ 17 ม.ค. 2567 ลงมติไม่เห็นชอบไปแล้ว เพราะยืนยันว่ากระบวนการสรรหาต้องเป็นจากบอร์ดทุกคน ไม่ใช่เป็นอำนาจหน้าที่ของประธานกสทช.คนเดียว