ธปท.ทำจดหมายเปิดผนึกถึง “รมต.คลัง” แจง “เงินเฟ้อ”กลับสู่กรอบเป้าหมายต้นปี 66

12 เม.ย. 2565 | 07:10 น.

ธปท.ทำจดหมายเปิดผนึกถึง “รมต.คลัง” เหตุอัตราเงินเฟ้อทั่วไปไตรมาสที่ 2 ปี 2565 ถึง ไตรมาสที่ 1 ปี 2566จะอยู่ที่ 4.1% พร้อมแจง " ปัจจัยทำเงินเฟ้อหลุดกรอบ-ระยะเวลาและ การดำเนินนโยบายการเงินเพื่อดูแลให้เงินเฟ้อกลับเข้าสู่กรอบเป้าหมายตั้งแต่ช่วงต้นปี 2566

 นายเศรษฐพุฒิ สุทธิวาทนฤพุฒิ ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย(ธปท.) ทำจดหมายเปิดผนึก (ลงวันที่  8เมษายน2565 )ถึงรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เพื่อชี้แจงการเคลื่อนไหวของอัตราเงินเฟ้อทั่วไปเฉลี่ย 12 เดือนข้างหน้าสูงกว่าขอบบนของกรอบเป้าหมายนโยบายการเงิน

 

     ตามที่คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังมีข้อตกลงร่วมกัน เมื่อวันที่ 16 พฤศจิกายน 2564 กำหนดให้อัตราเงินเฟ้อทั่วไปในช่วง 1 - 3 %เป็นเป้าหมายนโยบายการเงินด้านเสถียรภาพราคาสำหรับระยะปานกลาง และเป็นเป้าหมายสำหรับปี 2565

 

รวมถึงระบุให้ กนง. มีจดหมายเปิดผนึกหากอัตราเงินเฟ้อทั่วไปเฉลี่ย 12 เดือนที่ผ่านมาหรือประมาณการอัตราเงินเฟ้อทั่วไปเฉลี่ย 12 เดือนข้างหน้าเคลื่อนไหวออกนอกกรอบเป้าหมายนั้น

 

      เมื่อวันที่ 30 มีนาคม 2565 กนง. ประเมินว่าอัตราเงินเฟ้อทั่วไปเฉลี่ย 12 เดือนข้างหน้า (ไตรมาสที่ 2 ปี 2565 ถึง ไตรมาสที่ 1 ปี 2566) จะอยู่ที่4.1% ซึ่งสูงกว่าขอบบนของกรอบเป้าหมายนโยบายการเงินในปัจจุบัน

ดังนั้น กนง. จึงขอเรียนซี้แจงถึง

  1. ปัจจัยสำคัญที่ทำให้อัตราเงินเฟ้อทั่วไปเฉลี่ย 12 เดือนข้างหน้าเคลื่อนไหวออกนอกกรอบเป้าหมายนโยบายการเงิน
  2. ระยะเวลาที่คาดว่าอัตราเงินเฟ้อทั่วไปจะกลับเข้าสู่กรอบเป้าหมาย และ
  3. การดำเนินนโยบายการเงินเพื่อดูแลให้อัตราเงินเฟ้อทั่วไปกลับเข้าสู่กรอบเป้าหมายในระยะเวลาที่เหมาะสม โดยมีรายละเอียด ดังนี้

ปัจจัยสำคัญที่ทำให้อัตราเงินเฟ้อทั่วไปเฉลี่ย 12 เดือนข้างหน้าเคลื่อนไหวออกนอกกรอบเป้าหมายนโยบายการเงิน

กนง. ประเมินว่าอัตราเงินเฟ้อทั่วไปเฉลี่ย 12 เดือนข้างหน้า (ไตรมาสที่ 2 ปี 2565 ถึงไตรมาสที่ 1 ปี 2566) จะมีแนวโน้มสูงกว่าขอบบนของกรอบเป้าหมายนโยบายการเงินจากแรงกดดัน

 

เงินเฟ้อด้านอุปทาน (cost-push shocks) เป็นสำคัญ ในขณะที่แรงกดดันเงินเฟ้อด้านอุปสงค์(demand-pull inflation) ยังอยู่ในระดับต่ำ (ภาพที่1)

ธปท.ทำจดหมายเปิดผนึกถึง “รมต.คลัง” แจง “เงินเฟ้อ”กลับสู่กรอบเป้าหมายต้นปี 66

แรงกดดันเงินเฟ้อส่วนใหญ่มาจาก (1) ปัจจัยด้านอุปทานจากต่างประเทศ (globalsupply shocks) สืบเนื่องจากความขัดแย้งระหว่างรัสเซียและยูเครนที่ส่งผลให้ราคาพลังงานและราคาสินค้าโภคภัณฑ์โลกปรับสูงขึ้นมาก และมีผลต่อเนื่องทำให้ราคาน้ำมันขายปลีกในประเทศ ก๊าซหุงต้มและค่าไฟฟ้าเพิ่มขึ้นตาม

 

ทั้งนี้ คาดว่าอัตราเงินเฟ้อหมวดพลังงานเฉลี่ย 12 เดือนข้างหน้าจะเร่งตัวสูงที่16.8% ซึ่งสูงกว่าค่าเฉลี่ย 5 ปีที่ผ่านมาที่ 1.6%มาก

 

 (2) ปัจจัยด้านอุปทานในประเทศ(domestic supply shocks) จากโรคระบาดในสุกรและการส่งผ่านต้นทุนการผลิตที่สูงขึ้นไปยังราคาอาหารสำเร็จรูป

นอกจากนี้ ราคาอาหารสดหมวดอื่น ๆ มีแนวโน้มปรับเพิ่มขึ้นบ้างตามต้นทุนราคาอาหารสัตว์และปุ๋ยเคมีที่สูงขึ้นจากสถานการณ์ความขัดแย้งระหว่างรัสเซียและยูเครน ส่งผลให้อัตราเงินเฟ้อหมวดอาหารสดเฉลี่ย 12 เดือนข้างหน้ามีแนวโน้มสูงขึ้นอยู่ที่ 3.4% ซึ่งสูงกว่าค่าเฉลี่ย 5 ปีที่ผ่านมาที่ 0.6% มากเช่นกัน

 

ด้านแรงกดดันเงินเฟ้อด้านอุปสงค์ยังอยู่ในระดับต่ำ เนื่องจากกำลังซื้อในประเทศยังไม่เข้มแข็งนักจากเศรษฐกิจที่กำลังทยอยฟื้นตัวและยังมีความไม่แน่นอนจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัส COVID-19

 

รวมถึงตลาดแรงานที่ยังเปราะบางและหนี้ครัวเรือนที่อยู่ในระดับสูง ส่งผลให้การส่งผ่านต้นทุนที่เพิ่มขึ้นของผู้ประกอบการไปยังราคาสินค้าทำได้เพียงบางส่วน

 

แม้ต้นทุนจะปรับสูงขึ้นมาตั้งแต่ช่วงครึ่งหลังของปี 2564 จากบัญหาการชะงักงันของห่วงโซ่อุปทานโลกและการขนส่งสินค้าระหว่างประเทศต่อเนื่องมายังต้นปี 2565 ตามราคาพลังงานและราคาสินค้าโภคภัณฑ์ที่ปรับสูงขึ้น

 

ทั้งนี้ กนง. ประเมินว่า อัตราเงินเฟ้อพื้นฐานในอีก 12 เดือนข้างหน้าจะปรับเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ 2.0%จากราคาอาหารสำเร็จรูปที่มีแนวโน้มสูงขึ้นเป็นหลัก

 

ระยะเวลาที่คาดว่าอัตราเงินเฟ้อทั่วไปจะกลับเข้าสู่กรอบเป้าหมาย

 

อัตราเงินเฟ้อทั่วไปมีแนวโน้มสูงกว่า 5% ในช่วงไตรมาสที่ 2 และ 3 ก่อนที่จะปรับลดลงในช่วงหลังของปี 2565 และกลับมาเคลื่อนไหวอยู่ในกรอบเป้าหมายตั้งแต่ช่วงต้นปี 2566การเพิ่มขึ้นของอัตราเงินเฟ้อในช่วงไตรมาสที่ 2 และ 3 ของปีนี้สะท้อนผลจากฐานที่ต่ำของราคาน้ำมันและ

 

การบรรเทาค่าครองชีพของภาครัฐในปี 2564 ซึ่งจะส่งผลให้ตัวเลขอัตราเงินเฟ้อเทียบ ปีต่อปีสูงขึ้น

 

แม้ระดับราคาไม่ได้ปรับเพิ่มขึ้นมากก็ตาม โดยอัตราเงินเฟ้อจะทยอยลดลงในไตรมาส 4ของปีนี้ นอกจากนี้ราคาพลังงานและอาหารที่คาดว่าจะไม่ปรับสูงขึ้นต่อเนื่อง ตามอุปสงค์น้ำมันของกลุ่ม OPEC+ และสหรัฐ ที่มีแนวโน้มเพิ่มขึ้น ประกอบกับปัญหาการขาดแคลนวัตถุดิบและสินค้าโภคภัณฑ์โลกที่จะบรรเทาลง ส่งผลให้อัตราเงินเฟ้อทั่วไป จะกลับมาเคลื่อนไหวอยู่ในกรอบเป้าหมายตั้งแต่ช่วงต้นปี 2566

 

ทั้งนี้แม้แนวโน้มเงินเฟ้อจะยังมีความเสี่ยงจากราคาน้ำมัน ที่มีโอกาสสูงขึ้นกว่าที่ประเมินไว้ และการส่งผ่านต้นทุนของผู้ประกอบการ อาจมากกว่าคาด แต่โอกาสที่อัตราเงินเฟ้อทั่วไปปี 2566 จะสูงกว่ากรอบเป้าหมายมีไม่มาก โดยราคาน้ำมันและการส่งผ่านต้นทุนต้องสูงขึ้นกว่าคาดมากจึงจะส่งผลให้อัตราเงินเฟ้อสูงกว่ากรอบเป้าหมายอย่างต่อเนื่อง

 

      นอกจากนี้ อัตราเงินเฟ้อคาดการณ์ในระยะปานกลางที่สะท้อนจากข้อมูลตลาดการเงินยังคงยึดเหนี่ยวอยู่ในกรอบเป้าหมาย แม้อัตราเงินเฟ้อคาดการณ์ในระยะสั้นจะปรับเพิ่มขึ้นในช่วงที่ผ่านมา ตามการปรับขึ้นของราคาสินค้าบางประเภท สะท้อนความเชื่อมั่นว่านโยบายการเงินจะสามารถรักษาเสถียรภาพด้านราคาในระยะปานกลางได้

 

เช่นเดียวกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในปี 2551 ที่อัตราเงินเฟ้อทั่วไปปรับสูงขึ้นถึง 5.5% ตามราคาน้ำมันในตลาดโลกที่ปรับขึ้นสูงสุดถึง 140 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล และอัตราเงินเฟ้อคาดการณ์ระยะสั้นปรับเพิ่มขึ้นสูงกว่า 6%แต่อัตราเงินเฟ้อคาดการณ์ระยะปานกลางปรับเพิ่มขึ้นไม่มากและยังอยู่ในกรอบเป้าหมาย

 

ทั้งนี้ การยึดเหนี่ยวอัตราเงินเฟ้อคาดการณ์ที่ดีจะช่วยลดความเสี่ยงที่สาธารณชนมองว่าอัตราเงินเฟ้อจะสูงขึ้นต่อเนื่องจนนำไปสู่การปรับเพิ่มราคาอย่างเป็นระลอกได้ (secondround effect) ซึ่งปัจจุบันยังไม่เห็นสัญญาณของแรงกดดันลักษณะดังกล่าว

 

กนง. จะติดตามพัฒนาการของปัจจัยเสี่ยงต่าง ๆ ที่อาจนำไปสู่การเพิ่มขึ้นของราคาสินค้าอย่างต่อเนื่อง อาทิ สถานการณ์ความขัดแย้งระหว่างรัสเซียและยูเครน ราคาน้ำมันและสินค้าโภคภัณฑ์โลก รวมทั้งการส่งผ่านต้นทุนของผู้ประกอบการ เพื่อให้มั่นใจร่ำแนวโน้มอัตราเงินเฟ้อและการคาดการณ์อัตราเงินเอในระยะปานกลางยังคงยึดเหนี่ยวอยู่ในกรอบเป้าหมายนโยบายการเงิน

ธปท.ทำจดหมายเปิดผนึกถึง “รมต.คลัง” แจง “เงินเฟ้อ”กลับสู่กรอบเป้าหมายต้นปี 66

 

× การดำเนินนโยบายการเงินเพื่อดูแลให้อัตราเงินเฟ้อทั่วไปกลับเข้าสู่กรอบเป้าหมายในระยะเวลาที่เหมาะสม×

 

ภายใต้กรอบการดำเนินนโยบายการเงินที่มีเป้าหมายเพื่อรักษาเสถียรภาพราคา ควบคู่กับดูแลเศรษฐกิจให้เติบโตอย่างยั่งยืนและเต็มศักยภาพ และรักษาเสถียรภาพระบบการเงิน กนง. ยังให้น้ำหนักกับการสนับสนุนการฟื้นตัวของเศรษฐกิจเป็นสำคัญ

 

โดยประเมินว่าเศรษฐกิจที่ฟื้นตัวต่อเนื่อง จะช่วยสนับสนุนการจ้างงานและรายได้ของภาคธุรกิจและประชาชนให้ขยายตัวได้อย่างเข้มแข็ง สามารถรองรับค่าครองชีพที่สูงขึ้นได้ ขณะที่ราคาสินค้าที่เพิ่มขึ้นเป็นผลจากปัจจัยด้านอุปทานในระยะสั้นที่ผันผวนสูงเป็นสำคัญ

 

ดังนั้น นโยบายการเงินที่ต้องใช้ระยะเวลาในการส่งผ่านอย่างน้อย 1 ปีขึ้นไป อาจจำเป็นที่จะต้องมองผ่านความผันผวนในระยะสั้นดังกล่าว (look through) และให้ความสำคัญกับการดำเนินนโยบายการเงินที่มุ่งจะรักษาแนวโน้มอัตราเงินเฟ้อในระยะปนกลางให้อยู่ในกรอบเป้าหมายในระยะต่อไป

 

กนง. เห็นว่ามาตรการภาครัฐและการประสานนโยบายมีความสำคัญต่อการฟื้นตัวของเศรษฐกิจภายใต้สถานการณ์ที่มีความไม่แน่นอนสูง     โดยเฉพาะมาตรการการคลังที่สนับสนุนการฟื้นตัวของเศรษฐกิจอย่างตรงจุด เพื่อสร้างรายได้และบรรเทาภาระค่าครองชีพในกลุ่เปราะบาง ขณะที่นโยบายการเงินยังผ่อนคลายต่อเนื่อง เพื่อสนับสนุนภาวะการเงินโดยรวม

 

นอกจากนี้มาตรการด้านการเงินและสินเชื่อที่มีส่วนช่วยกระจายสภาพคล่องและช่วยลดภาระหนี้ โดยเฉพาะในกลุ่มที่รายได้ยังฟื้นตัวไม่เต็มที่ ควบคู่กับการผลักดันให้สถาบันการเงินเร่งสนับสนุนการปรับโครงสร้างหนี้อย่างยั่งยืนให้เห็นผลในวงกว้างและสอดคล้องกับความสามารถในการชำระหนี้ของลูกหนี้ในระยะยาว จะช่วยเสริมสร้างเสถียรภาพระบบการเงินและไม่เป็นปัจจัยอุดรั้งการขยายตัวของเศรษฐกิจในระยะข้างหน้า

 

ทั้งนี้กนง. จะติดตามปัจจัยสำคัญที่ส่งผลกระทบต่อแนวโน้มเศรษฐกิจอย่างใกล้ชิดและพร้อมใช้เครื่องมือนโยบายการเงินที่เหมาะสม เพื่อสนับสนุนการฟื้นตัวของเศรษฐกิจควบคู่กับการดูแลเสถียรภาพด้านราคาและเสถียรภาพระบบการเงิน

 

ตามข้อตกลงร่วมกันระหว่าง กนง. และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เมื่อวันที่16 พฤศจิกายน 2564 กนง. จะมีจดหมายเปิดผนึกถึงรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังอีกครั้งใน 6 เดือนข้างหน้า หาก ณ เวลานั้นอัตราเงินเฟ้อทั่วไปเฉลี่ย 12 เดือนที่ผ่านมา

 

หรือประมาณการอัตราเงินเฟ้อทั่วไปเฉลี่ย 12 เดือนข้างหน้ายังคงเคลื่อนไหวออกนอกกรอบเป้าหมาย ทั้งนี้ เพื่อสร้างความเข้าใจให้กับสาธารณชนเป็นการทั่วไป กนง. จะเผยแพร่สาระของหนังสือชี้แจงฉบับนี้ต่อสาธารณชนผ่านทาง website ของ ธปท. ด้วย