KEY
POINTS
วันนี้ (29 ต.ค. 2568) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า พล.ต.ท.วิโรจน์ เปาอินทร์ อดีตหัวหน้าพรรคเพื่อไทย และอดีตรองนายกรัฐมนตรี ได้ถึงแก่อนิจกรรมลงอย่างสงบ ด้วยวัย 91 ปี ท่ามกลางความอาลัยของครอบครัว และนักการเมืองในพรรคเพื่อไทย
พล.ต.ท.วิโรจน์ เปาอินทร์ ถือเป็นบุคลากรสำคัญที่โลดแล่นในวงการราชการและเส้นทางการเมืองมายาวนาน เริ่มต้นชีวิตราชการในสายงานตำรวจจนถึงตำแหน่งผู้บัญชาการตำรวจนครบาล ก่อนจะเข้าสู่การเมืองในฐานะ สส.อ่างทอง และเคยดำรงตำแหน่งสำคัญในฝ่ายบริหาร
อาทิ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทยในรัฐบาล พล.อ.สุจินดา คราประยูร และรองนายกรัฐมนตรีในรัฐบาลนายชวน หลีกภัย
บทบาทสำคัญที่สุดบทบาทหนึ่งคือการรับตำแหน่งหัวหน้าพรรคเพื่อไทย ระหว่างปี พ.ศ. 2557-2562 ซึ่งเป็นช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อหลังการรัฐประหาร โดยเป็นผู้ที่ต้องแบกรับภาระและแรงกดดันในการประคองพรรคให้ดำเนินกิจกรรมทางการเมืองต่อไปได้ภายใต้สถานการณ์พิเศษ
ก่อนที่ในการเลือกตั้งครั้งล่าสุด (14 พ.ค. 2566 พล.ต.ท.วิโรจน์ได้รับเลือกเป็น สส.บัญชีรายชื่ออีกครั้งหนึ่ง
นายก่อแก้ว พิกุลทอง สส.บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย ได้โพสต์ข้อความแสดงความอาลัย ระบุว่า "ท่านวิโรจน์และท่านภูมิธรรม (เลขาพรรคในขณะนั้น) แสดงจุดยืนของพรรค ในการไม่ยอมรับการยึดอำนาจและเรียกร้องให้คืนอำนาจสู่ประชาชนไทยโดยเร็ว" และยกย่องว่าท่านสามารถช่วยประคองพรรคให้ผ่านสถานการณ์ช่วงนั้นมาด้วยดี
ย้อนรอย 'หัวหน้าพรรค' ผู้ประคองร่มเงาในวันพายุโหม
ในห้วงเวลาที่พรรคการเมืองขนาดใหญ่อย่าง "เพื่อไทย" ต้องเผชิญกับพายุลูกใหญ่ที่สุดครั้งหนึ่งในประวัติศาสตร์หลังการรัฐประหารปี 2557 ผู้ที่ยืนหยัดเป็นเสาหลักและคอยกางร่มเงาให้ลูกพรรคฝ่าฟันวิกฤตนั้นคือ พล.ต.ท.วิโรจน์ เปาอินทร์ ในฐานะหัวหน้าพรรค
พล.ต.ท.วิโรจน์ ซึ่งขณะนั้นในวัย 80 กว่าปี ได้รับตำแหน่งผู้นำพรรคเพื่อไทยในสถานการณ์ที่ไม่ปกติ ซึ่งเป็นช่วงที่อำนาจเต็มอยู่ในมือคณะรัฐประหาร
ไม่ใช่เรื่องง่ายที่นักการเมืองอาวุโสจะต้องแบกรับความกดดันมหาศาล ทั้งการถูกเรียกรายงานตัว การเคลื่อนไหวที่ถูกจำกัด และการต้องรักษาอุดมการณ์ของพรรคให้คงอยู่
แม้จะต้องเผชิญหน้ากับ "เผด็จการทหาร" ที่มีอำนาจเบ็ดเสร็จ แต่พล.ต.ท.วิโรจน์และเลขาธิการพรรคในขณะนั้น ได้แสดงจุดยืนที่ชัดเจนและแน่วแน่ นั่นคือ "การไม่ยอมรับการยึดอำนาจ และเรียกร้องให้คืนอำนาจสู่ประชาชน"
ความเด็ดเดี่ยวนี้ได้กลายเป็นเครื่องยึดเหนี่ยวจิตใจให้พรรคทั้งกับนักการเมืองรุ่นใหม่และสมาชิกพรรคทุกคนในช่วงเวลาที่สับสนและมืดมน
บทบาทของท่านมิใช่การต่อสู้ด้วยกำลัง แต่เป็นการ "ประคอง" และ "รักษา" โครงสร้างของพรรคเอาไว้ ให้พรรคการเมืองยังคงเป็นสถาบันที่พร้อมจะกลับมาทำงานรับใช้ประชาชนทันทีที่ฟ้าเปิด คือผู้ใหญ่ที่ใช้ความรู้ความเข้าใจด้านกฎหมายและประสบการณ์อันยาวนาน นำพาพรรคเพื่อไทยให้รอดพ้นจากการยุบพรรค การถูกแทรกแซง และการถูกบั่นทอนกำลังใจ
การจากไปอย่างสงบในวัย 91 ปีของพล.ต.ท.วิโรจน์ จึงไม่ใช่แค่การสูญเสียนักการเมืองผู้ใหญ่ แต่เป็นการสูญเสีย "ครู" และ "ผู้นำ" ที่แสดงให้เห็นว่า ในโมงยามที่ประเทศชาติอยู่ในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อ ความกล้าหาญที่แท้จริงอาจไม่ใช่การออกไปเผชิญหน้า แต่คือการยืนหยัดอย่างมั่นคงเพื่อปกป้องหลักการประชาธิปไตยให้ดำรงอยู่ต่อไปในความมืดมิด คือตำนานของความอดทนและความหนักแน่นที่พรรคเพื่อไทยและประวัติศาสตร์การเมืองไทยจะจารึกไว้