KEY
POINTS
ในการประชุมร่วมรัฐสภาวาระการแถลงนโยบายรัฐบาลต่อรัฐสภาวันที่ 30 กันยายน นายสุชาติ ชมกลิ่น รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ชี้แจง หลังจากเมื่อวันที่ 29 กันยายนที่ผ่านมา นางสาวรักชนก ศรีนอก ส.ส.กทม. พรรคประชาชน กล่าวอภิปรายว่า แม้จะมีอายุไม่ยาวนานนัก แต่สถานการณ์ที่เกิดขึ้นสะท้อนชัด โดยเฉพาะประเด็นที่เกี่ยวข้องกับ ระบบประกันสังคม ขณะนี้มีประชาชนบางส่วนที่ได้รับผลกระทบแล้ว ขณะที่บางฝ่ายยังคงได้รับประโยชน์จากกองทุนดังกล่าว
หนึ่งในประเด็นที่ถูกจับตามองคือกรณี ตึก Skyy 9 ซึ่งเกี่ยวโยงกับบุคคลในคณะรัฐมนตรีปัจจุบัน ได้แก่ นายพัฒนา พร้อมพัฒน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ซึ่งเคยเป็นอดีตเจ้าของตึกดังกล่าว การที่เข้ามารับตำแหน่งใน ครม. ทำให้สังคมคาดหวังว่าเจ้าตัวควรมีบทบาทในการแสดงความเห็นอย่างชัดเจนต่อราคาที่เหมาะสมของตึกดังกล่าว
ขณะเดียวกันได้พาดพิง นายสุชาติ ชมกลิ่น อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน ว่าได้ออกมาแสดงท่าทีว่า “ใสซื่อ มือสะอาด”ต่อมาในวันนี้ นายอนุสรณ์ เอี่ยมสะอาด ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย ได้พาดพิง นายสุชาติ เนื่องจากเป็นหนึ่งในรัฐมนตรีไม่กี่คนที่พรรคฝ่ายค้ำตั้งเงื่อนไขไม่ให้เข้าร่วม ครม. ด้วยเหตุผลเรื่องความกังวลด้านความโปร่งใส โดยเฉพาะประเด็นการเข้าซื้ออาคาร SKYY9 ของสำนักงานประกันสังคมในสมัยที่เป็นรัฐมนตรีแรงงาน ซึ่งถูกตั้งข้อสังเกตว่า ซื้อในราคาสูงเกินจริง ระหว่าง 61,000 – 68,000 บาทต่อตารางเมตร ขณะที่สมาคมผู้ประเมินค่าทรัพย์สินฯ ประเมินราคาตลาดอาคารสำนักงานระดับสูงเพียง 38,900 บาทต่อตารางเมตร เท่ากับสูงกว่ามาตรฐานถึง 75%
โดยนายสุชาติ ชี้แจงว่า รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงานมีหน้าที่เพียงกำหนดกรอบและนโยบายการลงทุนตาม พ.ร.บ. เท่านั้น เช่น สัดส่วนการลงทุนในสินทรัพย์ที่มีความเสี่ยงสูง-ต่ำ ไม่ได้มีอำนาจลงไปตัดสินใจหรืออนุมัติการลงทุนในรายละเอียด เช่น การซื้อตึก การลงทุนต่างๆ เป็นอำนาจของคณะกรรมการลงทุนของสำนักงานประกันสังคม ซึ่งประกอบด้วยผู้ทรงคุณวุฒิที่ได้รับการแต่งตั้ง
การลงทุนของบอร์ดประกันสังคมมีบอร์ดลงทุน บอร์ดประกันความเสี่ยง บอร์ดทุกอย่างแต่งตั้งโดยผู้คนคุณทรงวุฒิทั้งหมด อํานาจรัฐมนตรีว่ากระทรวงแรงงานไม่ได้ลงไปล้วงลูกการลงทุน ได้แค่ให้กรอบกําหนดว่า พ.ร.บ. กําหนดลงทุนสัดส่วน 60% ลงทุนในสินทรัพย์ไม่มีความเสี่ยง 40% เช่น ลงทุนในพันธบัตรรัฐบาล ลงทุนประกันความเสี่ยงสูง เช่น ลงทุนกองทุนต่างๆ ที่เพื่อนสมาชิกได้กล่าวมาว่า ตึกที่ซื้อมาไม่มีระบบ ซึ่งเป็นเรื่องของบอร์ดที่พิจารณาการลงทุน รัฐมนตรี ไม่ได้มีอํานาจตรงนั้น รัฐมนตรีจะรู้จาก สตง. ในการตรวจสอบว่ากําไรปีที่เท่าไหร่
เงินกองทุนประกันสังคมปัจจุบันมี 2.6 ล้านล้านบาท โดย 1 ล้านล้านบาทมาจากดอกผลการลงทุน หากไม่มีการลงทุน เงินกองทุนจะไม่เพียงพอต่อการจ่ายสิทธิประโยชน์ที่เพิ่มขึ้น เช่น เงินดูแลบุตรแรกเกิดที่เพิ่มจาก 600 เป็น 1,000 บาท รวมถึงการเยียวยาช่วงโควิด-19
ผมอยากจะบอกพี่น้องประกันตน13 ล้านคนว่า ถ้ากองทุนประกันสังคมไม่มีการลงทุน จะไม่มีเม็ดเงินที่เพิ่มจาก 600 บาท สมัยผมอยู่เพิ่มสัดส่วนดูแลบุตรแรกเกิดเป็น 800 บาทสมัยท่านรัฐมนตรีพิพัฒน์ 1000 บาท โควิดต้องจ่ายชดเชยเท่าไหร่ ช่วงคนหยุดงานตกงาน การตรวจ การฉีดวัคซีนป้องกันคนตกงาน นี่คือจากดอกผลประกันสังคมทั้งนั้น
นายสุชาติ กล่าวอีกว่า การเข้ามาเป็นคณะกรรมการลงทุนมีความเสี่ยงสูงต่อการถูกร้องเรียน แม้ได้รับเบี้ยประชุมเพียงไม่กี่พันบาท ทำให้ไม่มีใครกล้าเข้ามาทำหน้าที่ โดยพร้อมรับการตรวจสอบทุกเรื่อง และต้องการให้ประเด็นนี้ยุติลงได้เเล้ว เนื่องจากมีการพูดวนเวียนมาเป็นเวลานาน 1-2 ปีแล้ว
วันนี้ถ้าไม่มีใครลงทุน ไม่มีใครมาเป็นบอร์ดลงทุนประกันสังคม กองทุนประกันสังคม 2.6 ล้านล้านคงต้องฝากไว้ที่ธนาคาร ดอกเบี้ย 70 สตางค์ หรือ 1 บาท ลองนึกภาพว่าจะเอาเงินตรงไหนมาจ่ายสิทธิประโยชน์ที่มากขึ้น ถ้าใครทําผิดเข้าสู่กระบวนการการตรวจสอบให้หมด ผมน้อมรับทุกเรื่องถ้ามีการเกี่ยวโยงเกี่ยวพัน ผมก็อยากให้เรื่องเหล่านี้จบไปสักที เพราะเป็น1- 2 ปีแล้ว พูดวนไปวนมาในเรื่องตึกเหล่านี้
นอกจากนี้ยังกล่าวว่า กว่า 30 ปี ตั้งแต่กองทุนประกันสังคมถือกำเนิดขึ้น กองทุนได้ดูแลสิทธิประโยชน์ของพี่น้องผู้ประกันตนทั้งประเทศ ปัจจุบัน 2.6 ล้านล้านบาท ซึ่งหากย้อนกลับไปดูโครงสร้างการสะสมเงินกองทุน จะพบว่า เงินจำนวน 1.6 ล้านล้านบาท มาจากการสมทบร่วมกันระหว่างนายจ้าง 5% ลูกจ้าง 5% และรัฐบาลอีก 2.75% สิ่งสำคัญคือ อีก 1 ล้านล้านบาท เป็นผลที่งอกเงยขึ้นมาจากการลงทุน เพื่อกลับคืนไปเป็นสิทธิประโยชน์ของผู้ประกันตนกว่า 13 ล้านคนในมาตรา 33