KEY
POINTS
MOA & MOU แตกต่างกันอย่างไร
ในสถานการณ์การเมืองที่เต็มไปด้วยความไม่แน่นอน คำว่า MOU หรือ Memorandum of Understanding และ MOA หรือ Memorandum of Agreement มักถูกหยิบมาใช้สลับไปมา แต่ในทางกฎหมายและการปฏิบัติ ทั้งสองกลับต่างกันอย่างมีนัยสำคัญ
การที่พรรคประชาชนเลือกลงนาม MOA กับพรรคภูมิใจไทย เพื่อสนับสนุนนายอนุทิน ชาญวีรกูล ขึ้นเป็นนายกรัฐมนตรีคนที่ 32 จึงไม่ใช่เพียง “สัญลักษณ์” หากแต่เป็นการส่งสัญญาณทางการเมืองและกฎหมายที่มีผลผูกพันอย่างแท้จริง
MOA (Memorandum of Agreement)
คือ “บันทึกข้อตกลง” ที่มีผลผูกพันทางกฎหมาย (legally binding agreement) เป็นรูปแบบใกล้เคียง “สัญญา” มากที่สุด หากฝ่ายใดไม่ปฏิบัติตาม อีกฝ่ายสามารถฟ้องร้องตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ได้ เนื้อหาจะระบุรายละเอียดกิจกรรม วิธีการปฏิบัติ และข้อบังคับชัดเจน
องค์ประกอบสำคัญที่ MOA ต้องมี
MOU (Memorandum of Understanding)
คือ “บันทึกความเข้าใจ” หรือข้อตกลงเชิงเจตจำนง (non-legally binding agreement) มุ่งเน้นการแสดงความตั้งใจร่วมกันมากกว่าการบังคับใช้ หากฝ่ายใดไม่ทำตาม ไม่ถือเป็นการผิดสัญญาในทางกฎหมาย
องค์ประกอบสำคัญที่ MOU ต้องมี
MOA พรรคประชาชน–ภูมิใจไทย
หลังจากศาลรัฐธรรมนูญมีคำวินิจฉัยให้น.ส.แพทองธาร ชินวัตร พ้นตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ทำให้เกิดสุญญากาศทางการเมือง พรรคประชาชนจึงเลือกจับมือกับพรรคภูมิใจไทยในรูปแบบ MOA เพื่อหนุนให้นายอนุทิน ชาญวีรกูล ขึ้นเป็นนายกฯ คนที่ 32
ซึ่งไม่ใช่การลงนาม MOU แบบ “ร่วมมือทั่วไป” หากแต่เป็น MOA ที่มีข้อกำหนดชัดเจน พร้อมเงื่อนไข 5 ข้อ ที่ฝ่ายใดไม่ทำตามย่อมถูกตั้งคำถามหรือแม้กระทั่งดำเนินคดีได้ในทางการเมืองและกฎหมาย
เงื่อนไข 5 ข้อใน MOA ฉบับการเมือง
ทำไมต้อง MOA ไม่ใช่ MOU?
ผลสะเทือนทางการเมือง
การเลือกใช้ MOA ในครั้งนี้ถือเป็น “ปรากฏการณ์ใหม่” ในการเมืองไทย เพราะสะท้อนว่า:
ความแตกต่างระหว่าง MOU และ MOA ไม่ใช่เรื่องของถ้อยคำ แต่คือ ระดับของความผูกพัน ที่จะชี้ชะตาเกมการเมือง พรรคประชาชนเลือกทำ MOA ไม่ใช่เพราะอยากแค่ “จับมือ” แต่เพื่อให้ “อนุทินและภูมิใจไทย” มีพันธะตามกฎหมายและการเมือง ว่าต้องพาประเทศไปสู่การยุบสภาและรัฐธรรมนูญใหม่ นั่นเอง