ค้าปลีกจี้รัฐบาล “อนุทิน” เร่งคลอดมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ

04 ก.ย. 2568 | 08:05 น.
อัปเดตล่าสุด :04 ก.ย. 2568 | 08:54 น.

ภาคค้าปลีกแนะรัฐบาลใหม่ เร่งกระตุ้นเศรษฐกิจผ่าน Shopping & Wellness Tourism ลดภาษีนำเข้าสินค้าลักชัวรี Up-skill Re-skill สร้างการจ้างงานใหม่ “รัฐครึ่งเอกชนครึ่ง” ดันเม็ดเงินหมุนเวียนในระบบ

KEY

POINTS

  • เสนอให้ลดภาษีนำเข้าสินค้าลักชัวรีและส่งเสริม Shopping & Wellness Tourism เพื่อกระตุ้นการใช้จ่ายของกลุ่มผู้มีกำลังซื้อสูงและนักท่องเที่ยว
  • เสนอมาตรการ Up-skill Re-skill ให้แรงงานในระบบประกันสังคม โดยรัฐสนับสนุนงบประมาณผ่านสถาบันฝึกอบรม เพื่อเพิ่มทักษะและสร้างรายได้หมุนเวียนในระบบ
  • เสนอโครงการจ้างงาน “รัฐครึ่งเอกชนครึ่ง” โดยรัฐร่วมจ่ายเงินเดือน 50% เพื่อสร้างงานใหม่ ลดการว่างงาน และเพิ่มกำลังซื้อ

ดร.ฉัตรชัย ตวงรัตนพันธ์ เลขาธิการสมาพันธ์ผู้ค้าปลีกแห่งเอเชียแปซิฟิก (FARPA) กล่าวแสดงความคิดเห็นกับ “ฐานเศรษฐกิจ” ว่า สิ่งที่รัฐบาลชุดใหม่ภายใต้การนำของนายอนุทิน ชาญวีรกูล ต้องเร่งดำเนินการคือ การกระตุ้นเศรษฐกิจในผู้บริโภคทุกกลุ่ม โดยกระตุ้นกลุ่มคนที่มีกำลังซื้อให้จับจ่ายใช้เงิน ภายใต้แนวคิด Shopping & Wellness Tourism  

เช่น การลดภาษีนำเข้าสินค้าลักชัวรี เพื่อกระตุ้นให้นักท่องเที่ยวช้อปปิ้ง  ขณะเดียวกันก็ใช้จุดแข็งของประเทศไทยในเรื่องของ wellness มาขับเคลื่อนทำให้เกิดกำลังซื้อ เป็นการกระตุ้นเศรษฐกิจในกลุ่มคนระดับกลาง-บน

ขณะที่กลุ่มคนระดับกลาง-ล่าง ซึ่งมีแรงงานในภาคนอกเกษครและอยู่ในระบบประกันสังคมราว 12 ล้านคน การลงทุนเพื่อเพิ่มผลิตภาพแรงงานและขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศในระยะยาว จำเป็นต้องใช้เงินใส่ลงไป แต่ต้องเป็นการใส่เงินแล้วเกิดประโยชน์ เช่น การ Up-skill Re-skill โดยให้ภาครัฐจัดสรรงบประมาณไปยัง สถาบันการศึกษา สถาบันฝึกอบรมต่างๆ 

ดร.ฉัตรชัย ตวงรัตนพันธ์

โดยให้มาลงทะเบียนผ่านแอป “ทางรัฐ”  บุคลากร ผู้ใช้แรงงาน ลงทะเบียนเรียน พัฒนาทักษะ กับสถาบันการศึกษา สถาบันฝึกอบรมต่างๆที่ได้มาตรฐานตามที่ลงทะเบียนไว้ใน เมื่อได้รับใบรับรองการอบรมหลักสูตรมาเสนอให้นายจ้างเห็นชอบ ก็ได้รับเงินเป็นแรงจูใจตอบแทน ก็จะทำให้มีเงินหมุนเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจ

นอกจากนี้รัฐบาลควรกระตุ้นให้เกิดการจ้างงาน “รัฐครึ่งเอกชนครึ่ง” โดยสนับสนุนการจ้างงานใหม่ในเมืองใหญ่ โดยรัฐร่วมจ่ายเงินเดือน 50% แต่ไม่เกิน 7,500 บาทต่อคนต่อเดือน เป็นระยะเวลา 6 เดือน โดยเน้นการจ้างงานในกลุ่มแรงงานที่ตกงาน บัณฑิตจบใหม่ และผู้ด้อยโอกาส ซึ่งจะทำให้เกิดการจ้างงานใหม่ ลดอัตราการว่างงานและเพิ่มกำลังซื้อในระบบเศรษฐกิจ

“วันนี้ใครจะมานั่งเป็นหัวหน้าทีมเศรษฐกิจ หรือใครจะขับเคลื่อนรัฐบาล สิ่งสำคัญคือ จะต้องสร้างงาน ทำให้เกิดการหมุนเวียนของเงินในระบบ ซึ่งการจะลดหนี้ครัวเรือนเป็นเรื่องยาก ถ้าไม่มีรายได้มากขึ้น ดังนั้นการ Up-skill Re-skill จะเป็นการเพิ่มทักษะ เพิ่มความสามารถในการทำงาน ซึ่งจะช่วยสร้างรายได้เพิ่มให้กับลูกจ้างและนายจ้างเองด้วย”