ท่ามกลางบรรยากาศทางการเมืองที่เต็มไปด้วยความสับสน นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ซึ่งปฏิบัติหน้าที่แทนนายกรัฐมนตรี ได้ออกมากล่าวถึงสถานการณ์ที่กำลังเกิดขึ้นในระบอบประชาธิปไตยของไทยว่า "เกิดการบิดเบี้ยว ไม่เป็นไปตามทำนองที่ควรจะเป็น"
การตัดสินใจของพรรคภูมิใจไทยและพรรคประชาชนที่ตกลงจัดตั้งรัฐบาลแต่กลับไม่รวมกันอย่างชัดเจน ทำให้เกิดสภาวะที่การเมืองแบ่งออกเป็นสามกลุ่มอย่างไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน โดยมีพรรคภูมิใจไทยเป็นรัฐบาลเสียงข้างน้อย ขณะที่พรรคเพื่อไทยทำหน้าที่เป็นฝ่ายค้าน และพรรคประชาชนก็มีบทบาทที่ซับซ้อนทั้งในฐานะฝ่ายค้านและฝ่ายรัฐบาลไปพร้อมกัน
ภูมิธรรมชี้ว่า สถานการณ์เช่นนี้ไม่เพียงแต่สร้างความสับสนอลหม่านให้กับการเมือง แต่ยังส่งผลกระทบโดยตรงต่อความเชื่อมั่นทางเศรษฐกิจของประเทศ หากไม่สามารถเรียกความเชื่อมั่นกลับคืนมาได้ ปัญหาเศรษฐกิจที่มีอยู่แล้วก็จะยิ่งถูกซ้ำเติม ด้วยเหตุนี้จึงมีการหารือกับฝ่ายกฎหมายและเห็นพ้องต้องกันว่า การคืนอำนาจให้ประชาชนด้วยการยุบสภา
ฐานเศรษฐกิจ พาไปย้อนประวัติศาสตร์การเมืองไทย อ้างอิงข้อมูลจาก "คลังสารสนเทศรัฐสภา" พบว่าการยุบสภาไม่ใช่เรื่องใหม่สำหรับประวัติศาสตร์การเมืองไทย ในช่วงกว่า 90 ปีที่ผ่านมา
มีการยุบสภาเกิดขึ้นแล้วถึง 14 ครั้ง ซึ่งแต่ละครั้งล้วนเป็นตัวชี้วัดความไม่มั่นคงทางการเมืองและสะท้อนถึงวิกฤตการณ์สำคัญที่ประเทศต้องเผชิญ การยุบสภาแต่ละครั้งมีสาเหตุที่แตกต่างกันไป โดยสามารถแบ่งออกได้เป็น 4 ประเภทหลักๆ
แพ้มติ/ขาดเสถียรภาพ (7 ครั้ง)
ความขัดแย้งด้านนโยบายหรือกฎหมาย (3 ครั้ง)
วิกฤตการเมือง/เศรษฐกิจและการชุมนุม (3 ครั้ง)
กลยุทธ์ทางการเมือง (1 ครั้ง)
และล่าสุดเมื่อวันที่ 2 กันยายน 2568 นายภูมิธรรม ยอมรับว่าได้ดำเนินการยื่นขอยุบสภาด้วยเหตุผลรัฐบาลเสียงข้างน้อยและสภาแบ่งเป็นสามกลุ่ม ทำให้การเมืองไม่มั่นคง จึงมีเป้าหมายคืนอำนาจให้ประชาชนผ่านการเลือกตั้งใหม่
ที่มาข้อมูล - คลังสารสนเทศรัฐสภา