KEY
POINTS
วันนี้ (7 สิงหาคม) ที่สนามช้างอินเตอร์เนชั่นแนล เซอร์กิต จ.บุรีรัมย์ นำโดยนายตนัยศิริ ชาญวิทยารมณ์ ผู้อำนวยการสนามช้าง อินเตอร์เนชั่นแนล เซอร์กิต พร้อมด้วย นายประมูลชัย นพสุวรรณวงศ์ ผู้อำนวยการอาวุโสสายงานทรัพย์สิน และผู้อำนวยการสายงานการตลาดและการสื่อสาร สโมสรบุรีรัมย์ ยูไนเต็ด, นายชนินทร์ แก่นหิรัญ ทนายความตัวแทนกลุ่มผู้ได้รับผลกระทบ และตัวแทนประชาชนจังหวัดบุรีรัมย์ ผู้ประกอบการธุรกิจ และนิติบุคคลที่มีเอกสารสิทธิ์ในพื้นที่เขากระโดง จ.บุรีรัมย์ ได้แถลงข่าวชี้แจงกรณีข้อพิพาทพื้นที่เขากระโดง อ.เมือง จ.บุรีรัมย์
นายชนินทร์ แก่นหิรัญ ทนายความ เปิดเผยว่า ข้อพิพาทสิทธิในที่ดินบริเวณเขากระโดง แม้จะมีคำพิพากษาของศาลฎีกาและศาลอุทธรณ์บางคดีที่การรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) นำมาอ้าง แต่ภายใต้ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 145 วรรคสอง คำพิพากษาดังกล่าวผูกพันเฉพาะคู่ความและที่ดินพิพาทในคดีเท่านั้น ไม่อาจยกขึ้นยันกับราษฎรผู้ถือเอกสารสิทธิตามกฎหมายในที่ดินแปลงอื่น
อย่างไรก็ดีเรื่องนี้ไม่เกี่ยวข้องกับคดีดังกล่าวและได้รับประโยชน์จากข้อสันนิษฐานตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1373 ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 127 และประมวลกฎหมายที่ดิน มาตรา 2 และมาตรา 3 อีกทั้งยังได้รับความคุ้มครองตามรัฐธรรมนูญ พ.ศ.2560 มาตรา 37 อีกด้วย
ขณะเดียวกันจนถึงปัจจุบันไม่ปรากฏว่า มีพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตและจัดซื้อที่ดิน พร้อมแผนที่ท้ายพระราชกฤษฎีกาประกาศในราชกิจจานุเบกษารับรองให้ รฟท. ได้รับพระราชทานโปรดเกล้าฯ เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์บนที่ดินบริเวณเขากระโดงตามพระราชบัญญัติจัดวางการรถไฟและทางหลวง พ.ศ.2464 หรือกฎหมายอื่นใด ดังนั้นที่ดินพิพาทจึงไม่ตกเป็น ที่ดินรถไฟตามนิยามในพระราชบัญญัติดังกล่าว
“ ยิ่งไปกว่านั้น แผนที่สำรวจ (Exploitation Plan) ดังกล่าวจัดทำขึ้นเพื่อรองรับการขนย้ายหินบริเวณเขากระโดงชั่วคราว โดยอาศัยพระราชบัญญัติจัดวางการรถไฟและทางหลวง พ.ศ.2464 มาตรา 45 จึงไม่ใช่ทางรถไฟเพื่อใช้ในการเดินรถตามมาตรา 3 (3) ของพระราชบัญญัติเดียวกัน และไม่ใช่แผนที่ท้ายพระราชกฤษฎีกาที่ผ่านกระบวนการพระราชทานโปรดเกล้าฯ ตามกฎหมาย” นายชนินทร์ กล่าว
ข้อเท็จจริงข้างต้นยืนยันอย่างชัดเจนว่า ราษฎรผู้ถือครองเอกสารสิทธิโดยสุจริตยังคงมีสิทธิครอบครองและใช้ประโยชน์ที่ดินบริเวณเขากระโดงโดยชอบตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ทุกประการ
และได้รับความคุ้มครองตามรัฐธรรมนูญอันเป็นกฎหมายสูงสุดของประเทศไทย อีกทั้งยังมีสิทธิในการต่อสู้และพิสูจน์ถึงความไม่ชอบของแนวเขตที่ดินที่ รฟท. กล่าวอ้าง
“หากนายภูมิธรรม เวชยชัย อธิบดีกรมที่ดิน และหรือหน่วยงานอื่นที่เกี่ยวข้องยังคงดำเนินการเพิกถอนโฉนดโดยยึดถือแผนที่หรือข้อมูลเท็จของ รฟท. เพื่อสนองนโยบายทางการเมือง อันเป็นการฝ่าฝืนกฎหมายอย่างร้ายแรง ราษฎรทุกรายผู้ได้รับผลกระทบจะยืนหยัดปกป้องสิทธิของตนอย่างถึงที่สุด ไม่ว่าจะฟ้องเพิกถอนคำสั่งทางปกครองและเรียกค่าเสียหาย หรือดำเนินคดีอาญาฐานปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ เบิกความเท็จ ปลอมแปลงเอกสารราชการ และความผิดอื่นที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้ผู้กระทำต้องรับผิดจนกว่าคดีจะถึงที่สุด” นายชนินทร์ กล่าว
นายชนินทร์ กล่าวต่อว่า การเพิกถอนต้องชอบด้วยกฎหมายและมีคนบิดเบือนว่าคำพิพากษาศาลฎีกาสามารถบังคับใช้ได้ทันที แต่คำพิพากษาของศาลไม่มีผลบังคับถึงบุคคลภายนอก ดังนั้นกรมที่ดินจึงไม่อาจเพิกถอนเอกสารสิทธิของราษฎรที่ไม่ใช่คู่ความในคดีตามคำพิพากษาศาลฎีกาได้ การที่ดำเนินการเพิกถอนโดยไม่ชอบด้วยกฎหมายผู้กระทำต้องรับผล อีกทั้งสิ่งที่นายภูมิธรรมดำเนินการในวันนั้นไม่สามารถทำได้ตามระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน
แหล่งข่าวด้านกฎหมาย กล่าวว่า ตามรัฐธรรมนูญมาตรา 36 กำหนดไว้ว่า การที่รัฐจะเวนคืนหรือได้มาซึ่งอสังหาริมทรัพย์ใดๆ รัฐต้องมีกฎหมายให้อำนาจการรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.)
ขณะเดียวกันการได้มาซึ่งที่ดินของ รฟท. ไม่ได้เป็นไปโดยอัตโนมัติ แต่สืบเนื่องมาจากการโอนทรัพย์สินจากกรมรถไฟแผ่นดิน ที่เกิดขึ้นในสมัยรัชกาลที่ 5-รัชกาลที่ 7 ซึ่งการโอนนี้รวมถึงสิทธิ หน้าที่ และกฎหมายที่เกี่ยวข้องด้วย
ส่วนสาเหตุที่รฟท.ได้ที่ดินบริเวณดังกล่าวมานั้นมาจากกฎหมายสำคัญที่กำหนดการได้มาซึ่งที่ดินรถไฟคือ พระราชบัญญัติจัดวางการรถไฟและทางหลวง พ.ศ. 2464 ซึ่งระบุอย่างชัดเจนว่า ที่ดินที่การรถไฟจะได้มานั้นต้องได้มาโดยชอบด้วยกฎหมายและมีวัตถุประสงค์เพื่อใช้ในการคมนาคมหรือ "การเดินรถ" เท่านั้น
อย่างไรก็ดีการได้มาซึ่งที่ดินของทางรถไฟสายโคราช-อุบลราชธานี นี้ ซึ่งครอบคลุม 3 ช่วง ได้แก่ ช่วงโคราช-ท่าช้าง, ช่วงท่าช้าง-บุรีรัมย์-สุรินทร์ และช่วงสุรินทร์-อุบลราชธานี ซึ่งตามกฎหมายจะต้องกำหนดแนวเขตแล้วเสร็จก่อน เสร็จจึงจะขอออก พระราชกฤษฎีกาจัดซื้ออีก 1 ฉบับ เพื่อให้ได้มาซึ่งกรรมสิทธิ์ จากนั้นจะขอออกประกาศราชกิจจานุเบกษาต่อไป
“ต่อมากลับพบว่ามีการยกเลิกแนวเขตที่หวงกั้นไว้ตามพระราชกฤษฎีกาทั้ง 2 ฉบับ หลังจากที่มีการจัดซื้อที่ดินแล้ว ซึ่งในหลวงในรัชสมัยนั้นท่าน เห็นแล้วว่าต้องปลดแนวเขตที่หวงกั้นให้ประชาชนไว้เพื่อให้ประชาชนที่ได้รับผลกระทบกลับเข้าไปใช้ประโยชน์ได้ดังเดิมนี่คือกฎหมายที่รฟท. ไม่เคยพูด” แหล่งข่าวด้านกฎหมาย กล่าว
นอกจากนี้ยังมีการกำหนดเงื่อนไขตามกฎหมายเพื่อให้รฟท.ได้มาซึ่งกรรมสิทธิ์ ซึ่งข้อมูลดังกล่าวชี้ให้เห็นว่าการจะระบุว่าที่ดินใดเป็นกรรมสิทธิ์ของรฟท.หรือของรัฐนั้น ต้องอาศัยหลักฐานและขั้นตอนทางกฎหมายที่ครบถ้วนและถูกต้องตามที่กฎหมายในอดีตกำหนดไว้
อีกทั้งเมื่อมีการตรวจสอบย้อนกลับไปถึงขั้นตอนและเอกสารทางกฎหมายในอดีต ได้มีการตั้งข้อสังเกตอย่างมีนัยสำคัญว่า รฟท. อาจไม่มีหลักฐานที่สมบูรณ์ตามที่กฎหมายกำหนด โดยเฉพาะการได้มาซึ่งกรรมสิทธิ์ในที่ดินเขากระโดงตามพระราชบัญญัติจัดวางการแลทางหลวง พ.ศ. 2464 นั้น กำหนดเงื่อนไขที่ชัดเจน 3 ประการ คือ ต้องมีพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตและจัดซื้อที่ดิน ,แผนที่กำหนดแนวเขตแนบท้ายพระราชกฤษฎีกาและประกาศในหนังสือราชกิจจานุเบกษาอย่างเป็นทางการ
แหล่งข่าวด้านกฎหมาย กล่าวต่อว่า ที่ผ่านมาพบว่าสิ่งที่รฟท. นำมาใช้เป็นหลักฐานในการกล่าวอ้างกรรมสิทธิ์ คือ หนังสือขอจัดซื้อที่ดินเพื่อขนหิน ,แผนที่สำรวจมาตราส่วน 1:4,000 และแผนที่แสดงแนวเขตข้อพิพาทของคณะกรรมการ กปร. ปี พ.ศ. 2539 ซึ่งหนังสือขอจัดซื้อนี้อ้างอิงพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตปี พ.ศ. 2462 และ พ.ศ. 2464 ในการจัดซื้อที่ดินปี พ.ศ. 2467 ทั้งที่พระราชกฤษฎีกาทั้งสองฉบับได้สิ้นผลบังคับใช้ไปแล้วตั้งแต่ปี พ.ศ. 2465
แผนที่ที่นำมาแสดงเป็นเพียงแผนที่สำรวจ ไม่ใช่แผนที่แนบท้ายพระราชกฤษฎีกา อีกทั้งรางรถไฟดังกล่าวที่ปรากฎในแผนที่ไม่ใช่รางเพื่อการเดินรถตามปกติ แต่เป็นรางรถไฟชั่วคราวเพื่อขนหิน ซึ่งรฟท.ก็ยอมรับถึงการก่อสร้างรางชั่วคราวนี้ที่ได้รับอำนาจตามมาตรา 45 ของพระราชบัญญัติฯ ที่อนุญาตให้ก่อสร้างได้ในช่วงระหว่างการก่อสร้างทางรถไฟสายหลัก โดยไม่ต้องมีการออกพระราชกฤษฎีกาหรือประกาศในราชกิจจานุเบกษาเพื่อได้กรรมสิทธิ์ แต่เป็นเพียงการเข้าพื้นที่เพื่อใช้ประโยชน์ชั่วคราวเท่านั้น และกฎหมายกำหนดให้ต้องรื้อถอนเมื่อเสร็จสิ้นภารกิจ