วันที่ 24 ก.ค.68 รายงานข่าวจาก กองทัพภาคที่ 1 (ทภ.1) เปิดเผยว่า พล.ท.อมฤต บุญสุยา แม่ทัพภาคที่ 1 ได้สั่งการให้ปิด 5 ด่าน ชายแดนไทย กัมพูชา ในพื้นที่รับผิดชอบ ประกอบด้วย
1. จุดผ่านแดนบ้านคลองลึก (โรงเกลือ) อ. อรัญประเทศ จ.สระแก้ว
2. จุดผ่านแดนถาวรสะพานมิตรภาพไทย-กัมพูชา (หนองเอียน-สตึงบท) อ. อรัญประเทศ จ.สระแก้ว
3. จุดผ่านแดนถาวรบ้านเขาดิน อ.คลองหาด จ.สระแก้ว
4. จุดผ่อนปนการค้าบ้านหนองปรือ อ. อรัญประเทศ จ. สระแก้ว และ
5. จุดผ่อนปนการค้าบ้านตาพระยา อ. ตาพระยา จ. สระแก้ว ซึ่งได้ปิดลง 100%
มีรายงานด้วยว่า หลังจากที่ผู้บัญชาการทหารบก(ผบ.ทบ.) ได้ประกาศให้ใช้แผน “จักรพงษ์ภูวนารถ” ขณะนี้รอคำสั่ง พร้อมปฏิบัติ โดยยุทโธปกรณ์ ทั้งหมด เจ้าหน้าที่ได้บรรจุกระสุนไว้ทั้งหมดแล้ว รอปฏิบัติการ เมื่อมีคำสั่ง
ด้านเพจกองทัพภาคที่ 2 ได้เผยแพร่ข้อความว่า จากเหตุการณ์ที่ กัมพูชากระทำการโจมตีด้วยอาวุธใส่พื้นที่พลเรือนของไทยในเขต อ.กาบเชิง จ.สุรินทร์ ประเทศไทยมีสิทธิในการป้องกันตนเองตามกฎบัตรสหประชาชาติ มาตรา 51 ซึ่งบัญญัติไว้ว่า
“…รัฐสมาชิกมีสิทธิในการใช้กำลังเพื่อป้องกันตนเอง หากถูกโจมตีก่อนพร้อมทั้งต้องรายงานต่อคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติทันที…”
หากจำเป็นต้องใช้กำลังเพื่อป้องกันตนเอง กองทัพบกไทยจะดำเนินการ ตามหลักสากลของกฎหมายมนุษยธรรม โดยจะ โจมตีเฉพาะ เป้าหมายทางทหาร (Military Objective),หลีกเลี่ยงการกระทบต่อ ทรัพย์สินทางวัฒนธรรม เช่น ปราสาทโบราณ,ไม่ใช้ทรัพย์สินทางวัฒนธรรมเป็นเครื่องมือทางทหาร เพราะจะทำให้ หมดสิทธิได้รับความคุ้มครอง ตามกฎหมายระหว่างประเทศ
ประเทศไทยยึดมั่นในหลักนิติธรรมและคุณค่าสากลของมนุษยธรรม แต่จะไม่ยอมให้การโจมตีใด ๆ ละเมิดอธิปไตยและบ่อนทำลายศักดิ์ศรีของชาติได้โดยไม่มีการตอบโต้
โดยก่อนหน้านั้น ทางกองทัพภาคที่ 2 ได้เผยแพร่ข้อมูลว่า กัมพูชาโจมตีแหล่งชุมชนโบราณสถาณ ปราสาท ปั๊มน้ำมัน โรงพยาบาล ศูนย์พัฒนาพื้นที่ชายแดน