ผู้สื่อข่าวรายงานว่า วันนี้ (21 ก.ค.68) เกิดเหตุความวุ่นวายบริเวณปราสาทตาเมือนธม เมื่อกลุ่มนักท่องเที่ยววัยรุ่นชาวกัมพูชาพยายามแสดงพฤติกรรมยั่วยุและท้าทายกลุ่มนักท่องเที่ยวชาวไทย จนเกิดการโต้เถียงกันอย่างรุนแรง และมีแนวโน้มจะลุกลามบานปลายเป็นการปะทะ
เจ้าหน้าที่ทหารทั้งฝ่ายไทยและกัมพูชาได้เข้าควบคุมสถานการณ์โดยเร่งเข้าไปตักเตือนและยุติเหตุการณ์ พร้อมทั้งประสานขอให้ทหารกัมพูชานำตัวกลุ่มวัยรุ่นลงจากบริเวณตัวปราสาท เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดเหตุความวุ่นวายเพิ่มเติม
ต่อมาไม่นาน ได้มีกลุ่มวัยรุ่นกัมพูชากลุ่มใหม่เดินทางขึ้นมายังบริเวณปราสาทอีกครั้ง เจ้าหน้าที่ฝ่ายไทยจึงต้องประสานกับทหารกัมพูชาให้นำตัวกลุ่มดังกล่าวลงจากพื้นที่อีกครั้ง เพื่อควบคุมสถานการณ์ให้สงบเรียบร้อย
ในวันเดียวกันนี้ นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ปฏิบัติหน้าที่แทนนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า เมื่อวันที่ 20 ก.ค.ที่ผ่านมา พบความเคลื่อนไหวของรถบัสจากกรุงพนมเปญกว่า 23 คัน มุ่งหน้าใกล้พื้นที่ชายแดน ซึ่งอาจเป็นความพยายามจัดฉากสถานการณ์ ไทยจึงต้องเร่งประสานฝ่ายทหารและตำรวจให้เตรียมความพร้อม โดยใช้กำลังเจ้าหน้าที่หญิงจากทหารพรานเข้าร่วม เพื่อหลีกเลี่ยงการยั่วยุให้เกิดปะทะ
ส่วนท่าทีของไทยต่อสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา ภายหลังมีรายงานการลักลอบวางทุ่นระเบิด รักษาการนายกฯ กล่าวว่า ไทยยึดมั่นหลักการไม่ใช้ความรุนแรง และจะอดทนให้ถึงที่สุด แต่หากมีการล่วงล้ำอธิปไตย จะไม่มีทางยอมรับอย่างเด็ดขาด
นายภูมิธรรมระบุว่า เหตุการณ์ดังกล่าวถือเป็นการยั่วยุที่อาจนำไปสู่ความรุนแรง ซึ่งหากไทยตอบโต้โดยใช้อาวุธ อาจถูกกัมพูชาใช้เป็นข้ออ้างเพื่อยื่นเรื่องต่อองค์กรระหว่างประเทศหรือศาลโลก (ICJ) ได้ ดังนั้นไทยจึงเลือกใช้แนวทาง “แข็งกร้าวแต่ไม่ก้าวร้าว” เพื่อป้องกันเหตุบานปลาย พร้อมส่งกองกำลังตำรวจปราบจลาจลจากภูธรภาค 3 จำนวน 2 กองร้อย เสริมกำลังทหารบริเวณ “ปราสาทตาเมือนธม” เพื่อควบคุมสถานการณ์ และแสดงจุดยืนว่าไทยไม่ใช่ฝ่ายเริ่มก่อน
สำหรับกรณีการลักลอบวางทุ่นระเบิด นายภูมิธรรมยืนยันว่า จากการตรวจสอบแล้ว เป็นวัตถุระเบิดชนิดใหม่ ไม่ใช่ของเก่าตกค้างตามที่มีการกล่าวอ้างก่อนหน้า และได้มอบหมายให้กระทรวงการต่างประเทศรวบรวมหลักฐาน เพื่อดำเนินการยื่นเรื่องประท้วงอย่างเป็นทางการ รวมถึงพิจารณาความเป็นไปได้ในการยื่นผ่านองค์กรระหว่างประเทศ หากจำเป็นอาจถึงขั้นพิจารณา “เรียกทูตกัมพูชากลับประเทศ” ทั้งนี้อยู่ระหว่างประเมินสถานการณ์
"ไทยมองว่าเป็นการละเมิดข้อตกลงขององค์การสหประชาชาติ ซึ่งไทยได้รวบรวมหลักฐาน และผมเองได้ส่งเรื่องไปยังกระทรวงการต่างประเทศ เพื่อนำไปสู่กระบวนการประท้วง ขณะนี้กำลังดำเนินการอยู่ หากพบสาเหตุมากไปกว่านี้ อาจต้องถึงขั้นถอนทูตกลับมาก็ได้ ต้องดูตามเงื่อนไขและสถานการณ์"
นายภูมิธรรมยังชี้ถึงความละเอียดอ่อนในเกมการเมืองระหว่างประเทศ โดยเน้นว่าหากไทยโต้ตอบด้วยกำลัง อาจเข้าทางกัมพูชา ที่อาจใช้เป็นข้ออ้างว่าโดนประเทศที่ใหญ่กว่ารุกราน เพื่อดึงไทยเข้าสู่กระบวนการพิจารณาคดีในศาลโลก ดังนั้นไทยต้องใช้หลักฐานและท่าทีทางการทูต เพื่อให้ประชาคมโลกเห็นว่า ฝ่ายกัมพูชาเป็นผู้สร้างสถานการณ์ก่อน
“ประเทศไทยไม่รับเงื่อนไขใด ๆ จากศาลโลกทั้งสิ้น เพราะพื้นที่พิพาททั้ง 4 จุด รวมถึงปราสาทตาเมือนธม เป็นดินแดนของไทยโดยชอบธรรม” นายภูมิธรรมกล่าว
สำหรับความเป็นไปได้ในการเจรจาภายใต้กรอบคณะกรรมาธิการเขตแดนร่วม (JBC) ไทยยังยึดมั่นจุดยืนเดิม ขณะที่ฝ่ายกัมพูชามีท่าทีเร่งเร้าให้เกิดความวุ่นวาย เพื่อใช้เป็นเครื่องมือทางการเมือง ไทยจึงจำเป็นต้อง “อดทน อดกลั้น และระมัดระวัง” แต่จะไม่ถอยหากถูกล่วงละเมิด
ตอนท้าย นายภูมิธรรมกล่าวฝากถึงประชาชนว่า สงครามในยุคปัจจุบันไม่ใช่แค่การใช้กำลังอาวุธแบบเดิม แต่เพียง “การกดปุ่มเดียว” ก็อาจทำให้เมืองทั้งเมืองหายไป ดังนั้นการหลีกเลี่ยงความรุนแรงจึงเป็นสิ่งสำคัญ แต่ไม่ใช่การยอมจำนน พร้อมย้ำว่า หากถึงที่สุด รัฐบาลไทยพร้อมปกป้องอธิปไตยอย่างเต็มที่.