KEY
POINTS
ภายใต้สถานการณ์ที่รัฐบาลของ น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี หัวหน้าพรรคเพื่อไทย ดำรงตำแหน่งบริหารประเทศ เข้าสู่เดือนที่ 10 การพูดถึงการ “ปรับ ครม.” เริ่มก่อตัวอย่างเงียบ ๆ
โดยฝั่งของพรรคเพื่อไทยเอง เริ่มมีการพูดถึงประสิทธิภาพของรัฐมนตรีในบางตำแหน่งว่า อาจไม่ตอบโจทย์ “เป้าหมายทางนโยบาย” หรือ “ความคาดหวังของประชาชน”
ข้อคิดปรับ ครม.จาก“ทักษิณ”
กระทั้ง นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ผู้นำจิตวิญญาณของพรรคเพื่อไทย ได้ให้สัมภาษณ์พิเศษกับรายการ 3 บก. วันที่ 30 พ.ค. 2568 ในโอกาสครบรอบ 25 ปี เนชั่นทีวี ช่อง 22 โดยได้สมมติระบุให้ นายทักษิณ เป็น บก.ข่าวคนที่ 4 สวมหมวกนักวิเคราะห์ข่าวการเมือง ประเมินสถานการณ์ให้หน่อยว่า โดยปกติแล้วพรรคแกนนำรัฐบาลมักต้องเอากระทรวงสำคัญๆ ไว้ในมือ พรรคเพื่อไทยควรมีคนเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยหรือไม่
“การนำนโยบายไปถึงประชาชน กระทรวงหลักคือ กระทรวงมหาดไทย วันนี้มันไม่ค่อยถึง เพราะว่ากระทรวงมหาดไทยยังไม่ค่อยทำเต็มที่ เวลามันเหลือ 2 ปีแล้ว จำเป็นอย่างยิ่งที่มหาดไทยต้องทำงานให้เต็มที่” นายทักษิณ ระบุ
พิธีกรถามว่า ท่านผ่านการเมืองมาเยอะ และรู้จักพรรคเพื่อไทยดี วิเคราะห์ในฐานะ บก.ที่ 4 หน่อยว่ารอบนี้พรรคเพื่อไทยจะกล้ายึดไหม
นายทักษิณ ตอบว่า “ผมยังไม่ได้ถามหัวหน้าพรรค ถ้าให้วิเคราะห์ก็เป็นเรื่องที่คงต้องพูดกันว่า ให้พรรคเพื่อไทยเข้าไปทำบ้าง จะได้ทำนโยบายถึงเพื่อประชาชนได้สักที เพราะเวลาเหลือน้อยแล้ว อีก 2 ปีจะเลือกตั้งแล้ว”
พิธีกร ถามต่อว่า แล้วพรรคร่วมที่เขามี 69 เสียง เขาจะยอมไหม ในเมื่อกระทรวงนั้นคือ หัวใจหลักคุมอำนาจบริหาร และเอาชนะทางการเมือง
อดีตนายกฯ ตอบว่า “มันเป็นเรื่องการทำงานเพื่อประชาชน ถ้าอยากทำงานให้ได้ผล พรรคเพื่อไทยต้องตัดสินใจเพื่อให้นโยบายถึงประชาชนจริงๆ ก็ต้องให้กระทรวงมหาดไทยอยู่ในความดูแลของพรรคเพื่อไทย นี่คือหลักการ”
พิธีกร ถามว่านอกจากกระทรวงมหาดไทยแล้ว ยังต้องมีกระทรวงไหนอีก ที่สามารถทำให้รัฐบาลทำงานกระฉับกระเฉง และสามารถชนะเลือกตั้ง (เลือกตั้งใหม่ปี 2570) ครั้งต่อไป
นายทักษิณ ตอบว่า “เกษตร พาณิชย์ คลัง คมนาคม ก็เป็นหัวใจ คมนาคมก็เรื่องของ 20 บาทตลอดสาย พูดไปแล้วต้องทำให้ได้ ถ้าทำไม่ได้ก็ต้องมีเหตุผลบอกกับประชาชน”
พิธีกร ถามว่าถ้าพรรคเพื่อไทยนำกระทรวงมหาดไทยมาดูแลเอง คิดว่าในฐานะนักวิเคราะห์ มีประสบการณ์ทางการเมือง พรรคภูมิใจไทยเขาจะกล้าถอนตัวไหม
นายทักษิณ ตอบว่า “คิดว่าน่าจะคุยกันรู้เรื่อง คงไม่ถอนมั้ง เราไม่อยากให้เขาถอนอะ ก็อยู่ด้วยกันมา”
พิธีกร ถามต่อว่าแต่ถ้าเขาอยู่ไม่ได้
นายทักษิณ ตอบว่า “อันนั้นก็เป็นเรื่องที่เราไม่สามารถควบคุมการตัดสินใจของแต่ละพรรคได้”
สำหรับกระทรวงมหาดไทย ปัจจุบันมี นายอนุทิน ชาญวีรกูล หัวหน้าพรรคภูมิใจไทย ดำรงตำแหน่งอยู่
แรงกดดันปรับ ครม.
แต่ท่ามกลางเสียงเรียกร้องและแรงสั่นสะเทือนจากภายใน น.ส.แพทองธาร กลับใช้ท่าที “นิ่ง” พร้อมกับวางแนวทางแบบประเมินผล “แบบไม่ฟันธง” โดยกล่าวว่า “ยังไม่ถึงเวลาปรับ ครม.” พร้อมยืนยันว่า หากจะมีการปรับ ต้องหารือกับพรรคร่วมรัฐบาลก่อนทุกพรรค ทั้งยังระบุว่า “ขณะนี้อยู่ในช่วงประเมิน” และ “คิดอยู่ว่าจะปรับแบบไหนถึงจะช่วยให้การทำงานของรัฐบาลดีขึ้น”
การปรับ ครม. ไม่ใช่เรื่องง่ายในรัฐบาลผสมที่มีพรรคร่วมหลากหลายอุดมการณ์ และมีอำนาจต่อรองที่แตกต่างกัน โดยเฉพาะในรัฐบาลปัจจุบันที่มีทั้ง พรรคเพื่อไทย พรรคภูมิใจไทย พรรครวมไทยสร้างชาติ พรรคกล้าธรรม ชาติไทยพัฒนา รวมถึงพรรคเล็กอีกจำนวนหนึ่ง
แรงกดดันภายใน “พรรคเพื่อไทย” เริ่มสะท้อนความไม่พอใจในประสิทธิภาพของรัฐมนตรีบางราย และมีความคาดหวังให้แกนนำพรรคเริ่ม “ปรับทีม” เพื่อเร่งขับเคลื่อนนโยบายสำคัญ
โดยเฉพาะโครงการประชานิยมที่พรรคหาเสียงไว้ เช่น เงินดิจิทัล 10,000 บาท, การลดภาระค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับพลังงาน-ไฟฟ้า-น้ำมัน, การผลักดันการท่องเที่ยว, รถไฟฟ้าตลอดสาย 20 บาท, ขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ 600 บาท ภายในปี 2570, การแก้ปัญหาหนี้สิน, การแก้ปัญหายาเสพติด รวมถึงการผลักดันกฎหมายและการแก้รัฐธรรมนูญ
ขณะเดียวกัน มีแรงกดดันจากประชาชน และนักธุรกิจเอกชน ที่ยังไม่เห็นผลลัพธ์จากนโยบายเศรษฐกิจที่เป็นรูปธรรมของรัฐบาล โดยเฉพาะในช่วงที่เศรษฐกิจโลกซบเซา ส่งออกกำลังมีปัญหา เงินบาทอ่อน และ การบริโภคภายในประเทศชะลอตัว
ปรับครม.“โอกาส-ความเสียง”
หากรัฐบาลต้องการ “รีเซ็ตภาพลักษณ์” และ “อัดฉีดความหวัง” กลับช่วงเวลาที่เหลืออยู่ของ “รัฐบาลแพทองธาร” ก่อนไปสู่การเลือกตั้งใหญ่ที่จะมีขึ้นช่วงต้นปี 2570
การปรับใหญ่ ครม. ในระดับที่ “เขย่าตำแหน่งรัฐมนตรีเศรษฐกิจ” หรือ ตำแหน่งที่จะมีส่วนสัมพันต่อการเลือกตั้งในอนาคต ก็อาจเป็นตัวเลือกที่ “นายกรัฐมนตรี” และ “พรรคเพื่อไทย” จะต้องชั่งน้ำหนักในไม่ช้า
อย่างไรก็ตาม การปรับ ครม. จะเป็นทั้ง “โอกาส” และ “ความเสี่ยง” ในเวลาเดียวกัน
หากบริหารไม่ดีอาจนำไปสู่ความแตกแยกภายในพรรคร่วม และการต่อรองที่บานปลาย แต่หากสามารถเคลียร์กันได้ ก็อาจเป็นการรีเฟรชรัฐบาล ที่ช่วย “เปลี่ยนภาพลักษณ์” และ “เร่งผลงาน” ก่อนเข้าสู่การเลือกตั้งรอบใหม่
ทั้งหมดคำตอบอยู่ในมือ “นายกฯแพทองธาร” เพียงคนเดียวเท่านั้น
++++++++
“พล.ต.อ.เพิ่มพูน”ไม่ตื่นตระหนกปรับ ครม.
นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรีและรมว.กลาโหม กล่าวเมื่อวันที่ 5 มิ.ย. 2568 ถึงกระแสข่าวการสลับเก้าอี้รัฐมนตรี ระหว่างพรรคเพื่อไทย กับ พรรคภูมิใจไทย โดยเฉพาะกรณี นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกฯและรมว.มหาดไทย อาจย้ายไปคุมกระทรวงศึกษาธิการ ว่า เรื่องนี้เป็นอำนาจของนายกฯ เพียงผู้เดียว
“ทุกคนยังคงทำหน้าที่ตามปกติ ไม่มีใครรู้ว่าจะมีการโยกย้ายอย่างไร อย่าเพิ่งคาดการณ์ไปก่อน เพราะจะทำให้เหนื่อยเปล่า” นายภูมิธรรมกล่าว พร้อมย้ำว่า ขณะนี้ยังไม่มีการหารือเรื่องปรับ ครม. กับนายกฯ อย่างเป็นทางการ และยังไม่มีสัญญาณใดๆ ว่าจะมีการสลับตำแหน่งในรัฐบาล
นายภูมิธรรม ระบุว่า เมื่อวันที่ 3 มิ.ย. ที่ผ่านมา ตนได้พูดคุยกับ พล.ต.อ.เพิ่มพูน ชิดชอบ รมว.ศึกษาธิการ (โควต้าพรรคภูมิใจไทย) ในวงอาหารอย่างเป็นกันเอง และยืนยันว่า “ไม่มีปัญหาใดๆ ทั้งสิ้น คุยกันด้วยดี”
เมื่อถูกถามว่าการปรับ ครม. ครั้งนี้จะเป็นการ “เซ็ตซีโร” ตำแหน่งหรือไม่ นายภูมิธรรม กล่าวว่า ยังไม่มีอะไรแน่นอน และไม่ควรคาดเดาล่วงหน้า ทั้งหมดขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของนายกฯ
ด้าน พล.ต.อ.เพิ่มพูน ชิดชอบ รมว.ศึกษาธิการ กล่าวถึงกรณีจะไม่ขอรับเก้าอี้รัฐมนตรีในกระทรวงอื่นอีก ว่า อย่าไปคิดอะไรมาก ทำวันนี้ให้ดีที่สุด และตนก็ยังไม่เคยได้ยินว่าทางพรรคคุยถึงเรื่องนี้
เมื่อถามว่าหัวหน้าพรรคภูมิใจไทย คุยเรื่องนี้กับท่านแล้วหรือยัง พล.ต.อ.เพิ่มพูน กล่าวว่า ต้องฟังจากนายกฯ คนเดียว เพราะว่าการดำเนินการไม่ใช้การปฏิวัติ ที่จะไม่มีการบอกกล่าวล่วงหน้า
“เรื่องระบบประชาธิปไตย ก็ต้องมีการพูดคุยกัน และฟังจากท่านนายกฯ คนเดียว เพราะฉะนั้นอย่าไปตื่นตระหนกอะไรต่างๆ ที่ไม่ใช้เหตุ ทุกอย่างให้ทำด้วยสติและปัญญา มีสติ มีปัญญา ในการกำกับในการทำงาน เรื่องพวกนี้คงไม่มีหลุดออกมา เพราะเป็นเรื่องมิบังควร สุดท้ายอยู่ที่พระองค์โปรดเกล้าฯ ลงมา จึงไม่ควรเปิดเผยออกมาก่อน”