วันที่ 4 มิถุนายน 2568 ที่กองทัพอากาศ (ทอ.) พล.อ.อ.พันธ์ภักดี พัฒนกุล ผู้บัญชาการทหารอากาศ (ผบ.ทอ.) พร้อมด้วยคณะผู้บัญชาการระดับสูง ร่วมแถลงความคืบหน้าโครงการจัดหาเครื่องบินขับไล่โจมตีรุ่นใหม่ Gripen E/F ระยะที่ 1 จำนวน 4 ลำ มูลค่าโครงการรวม 19,500 ล้านบาท โดยยืนยันว่า โครงการดำเนินตามยุทธศาสตร์เสริมความแข็งแกร่งให้กับกองทัพอากาศ และตอบสนองความมั่นคงของประเทศในระยะยาว
พล.อ.อ.พันธ์ภักดี ชี้แจงว่า การคัดเลือกแบบเครื่องบินมีความละเอียดรอบคอบ เริ่มจากการพิจารณาแบบเครื่องบินกว่า 20 แบบ ก่อนจะคัดกรองเหลือ 6 แบบ และสุดท้ายเลือก Gripen E/F ของบริษัท Saab ประเทศสวีเดน โดยพิจารณาจากขีดความสามารถในการปฏิบัติการ การพัฒนาในระยะยาว ตลอดจนข้อเสนอด้าน “นโยบายชดเชยการนำเข้า (Offset Policy)” ซึ่งเป็นกลไกใหม่ที่กองทัพนำมาใช้เป็นครั้งแรกในการจัดซื้อยุทโธปกรณ์อย่างเป็นระบบ
“เรายึดหลักความโปร่งใส คุ้มค่าภาษีประชาชน และตรวจสอบได้ทุกขั้นตอน เครื่องบินรุ่นนี้มีสมรรถนะสูง รองรับสงครามอากาศสมัยใหม่ ใช้อาวุธนำวิถีอากาศสู่อากาศระยะไกลได้ ตอบโจทย์ภารกิจปกป้องอธิปไตยและผลประโยชน์ของชาติในอนาคต” ผบ.ทอ.กล่าว
สำหรับ เครื่องบิน Gripen E/F จะเข้ามาแทนที่เครื่อง F-16 รุ่นเก่าประจำการที่กองบิน 1 ซึ่งใช้งานมานานกว่า 37 ปี โดยโครงการจัดหาแบ่งออกเป็น 3 ระยะ ภายในระยะเวลา 10 ปี ในระหว่างนี้จะยังคงใช้งาน F-16 ควบคู่กันไปจนกว่าจะปลดประจำการครบ
4 ลำแรกพร้อมระบบอาวุธ Meteor
พล.อ.อ.เสกสรร คันธา ผู้ช่วย ผบ.ทอ. ระบุ ว่า โครงการจัดหาในระยะที่ 1 จะใช้งบประมาณผูกพัน 5 ปี ตั้งแต่ปี 2568-2572 โดยประกอบด้วยเครื่องบินรุ่น E (1 ที่นั่ง) จำนวน 3 ลำ และรุ่น F (2 ที่นั่ง) จำนวน 1 ลำ พร้อมระบบรองรับการใช้งานครบวงจร ทั้งระบบอาวุธปล่อยนำวิถี “Meteor” ระบบสงครามอิเล็กทรอนิกส์ ระบบสนับสนุนภาคพื้น อะไหล่ การฝึกอบรมเจ้าหน้าที่และนักบิน
ด้าน พล.อ.อ.คิด ควรสดับ ผู้ช่วย ผบ.ทอ. กล่าวเสริมว่า ข้อเสนอ “Offset” ประกอบด้วยรายการชดเชยทางตรง 7 รายการ เช่น ระบบสื่อสารยุทธวิธีแบบ Link T ที่สามารถเชื่อมโยงกับทุกเหล่าทัพโดยไม่มีข้อจำกัด และการส่งเสริมอุตสาหกรรมการบินในประเทศ ขณะที่ชดเชยทางอ้อมอีก 7 รายการ เช่น การส่งเสริมการลงทุนร่วม การวิจัยร่วม และโครงการพัฒนาเทคโนโลยีไซเบอร์
คาดเซ็นสัญญาสวีเดน ส.ค.นี้
พล.อ.ต.พูนศักดิ์ ปิยะรัตน์ ผู้อำนวยการสำนักนโยบายและแผน ทอ. ชี้แจงว่า โครงการนี้ใช้รูปแบบจัดซื้อแบบรัฐต่อรัฐ (G2G) ซึ่งปัจจุบันได้เจรจากับรัฐบาลสวีเดนและบริษัทผู้ผลิตจนได้ข้อยุติแล้ว โดยขั้นตอนจากนี้ คือ การเสนอเรื่องต่อกองทัพไทยและกระทรวงกลาโหมภายในเดือนมิถุนายน จากนั้นจะส่งร่างสัญญาให้อัยการสูงสุด และกรมสนธิสัญญาและกฎหมาย กระทรวงการต่างประเทศ ตรวจสอบ
“หากไม่มีข้อขัดข้อง คาดว่ากระทรวงกลาโหมจะเสนอเรื่องต่อที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ภายในกลางเดือนกรกฎาคม เพื่อขออนุมัติให้กองทัพอากาศลงนามในสัญญาจัดซื้อร่วมกับรัฐบาลสวีเดนได้ภายในเดือนสิงหาคม 2568”
นอกจากนี้ ยังมีการเปิดเผยว่า รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศสวีเดน ได้เชิญนายกรัฐมนตรีไทยเยือนสวีเดนอย่างเป็นทางการในช่วงเวลาดังกล่าว เพื่อร่วมลงนามในข้อตกลงความร่วมมือด้านการป้องกันประเทศ และยกระดับความเป็นพันธมิตรระหว่างสองประเทศในมิติต่าง ๆ ต่อไป