“ชาดา”เตือน“แพทองธาร”ไม่แจกเงินดิจิทัล“นายกฯเท้ง”มาแน่

31 พ.ค. 2568 | 09:41 น.
อัปเดตล่าสุด :31 พ.ค. 2568 | 09:54 น.

“ชาดา ไทยเศรษฐ์”ถล่มงบลงทุนซ้ำรอยเดิม เอื้อทุนใหญ่-แบงก์ มากกว่าประชาชน เตือนนายกฯแพทองธาร ถ้าไม่แจก “เงินดิจิทัล”ให้ทันก่อนเลือกตั้ง “นายกฯ เท้งมาแน่”

ที่รัฐสภา วันที่ 31 พฤษภาคม 2568 ในการประชุมสภาผู้แทนราษฎร สมัยวิสามัญ (เป็นพิเศษ) เพื่อพิจารณาร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2569 วงเงินรวม 3.78 ล้านล้านบาท วาระแรก ซึ่งเป็นวันสุดท้ายของการอภิปราย 

นายชาดา ไทยเศรษฐ์ สส.อุทัยธานี พรรคภูมิใจไทย ได้ลุกขึ้นอภิปรายอย่างเผ็ดร้อน โดยพุ่งเป้าโจมตีไปที่โครงสร้างของงบประมาณโดยระบุว่า “ล้าหลัง ซ้ำซาก และไม่เคยเปลี่ยนแปลง”

นายชาดา เริ่มต้นด้วยการตั้งคำถามถึงความเหลื่อมล้ำในสังคมไทยว่า เหตุใดช่องว่างระหว่างคนรวยกับคนจน จึงยิ่งถ่างกว้างขึ้นเรื่อย ๆ โดยชี้ว่า หนึ่งในปัจจัยสำคัญคือ รูปแบบการจัดสรรงบประมาณที่ยังเน้นหนักไปที่การลงทุนก่อสร้างขนาดใหญ่ ซึ่งส่วนใหญ่กลายเป็นช่องทางให้กลุ่มทุนและธนาคารได้ประโยชน์ มากกว่าประชาชนระดับล่าง

“งบลงทุนปีนี้ 7 แสนล้านบาท ในจำนวนนั้นกว่า 4.7 แสนล้านเป็นงบก่อสร้าง แต่เงินเหล่านี้กลับไม่ไหลลงไปถึงพี่น้องประชาชน เพราะไปอยู่ที่ธนาคารเป็นหลัก โดยที่รัฐไม่เคยตรวจสอบ หรือแก้ไขอะไรเลย” นายชาดา ระบุ

พร้อมอธิบายต่อว่า ในระบบการเบิกจ่ายงบประมาณของไทย ธนาคารพาณิชย์ ได้ประโยชน์มหาศาลจากระบบค้ำประกัน ซึ่งมีอัตราค่าค้ำประกันสัญญาอยู่ที่ประมาณ 2.5% ต่อปี หรือเทียบเท่า 5% ของงบลงทุนทั้งหมด และยังมีค่าธรรมเนียมต่าง ๆ ที่ธนาคารเรียกเก็บเพิ่มเติมอีก ทำให้ธนาคารได้รับผลประโยชน์โดยตรงจากงบประมาณแผ่นดิน

“ปีนี้งบลงทุนแบงก์เอาไปเกือบ 10% ลองคิดดูว่าเงินก้อนใหญ่ของประเทศกลับกลายเป็นช่องทางรายได้ของธนาคาร ขณะที่แรงงาน คนจน หรือ SME แทบไม่ได้อะไรเลย”

                                       ชาดา ไทยเศรษฐ์ สส.อุทัยธานี พรรคภูมิใจไทย ลุกขึ้นอภิปรายงบประมาณ 2569 อย่างเผ็ดร้อน

นายชาดา ยังได้ยกตัวอย่างระบบการเร่งรัดเบิกจ่ายที่รัฐกำหนด เช่น ให้เบิกได้เร็ว 15% แต่ธนาคารเรียกเก็บค่าค้ำประกันเพิ่มทันทีอีก 3% แสดงให้เห็นชัดว่า นโยบายรัฐไม่ได้สร้างความเท่าเทียม แต่กลับตอกย้ำความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจในเชิงโครงสร้าง

สส.พรรคภูมิใจไทย ย้ำว่า ในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา รัฐบาลทุกรัฐบาลไม่ว่าใครจะมาเป็นผู้นำ ล้วนใช้โครงสร้างงบประมาณแบบเดิม ๆ ซึ่งเน้นการลงทุนก่อสร้างมากกว่าการลงทุนในทรัพยากรมนุษย์ เช่น การพัฒนาทักษะแรงงาน การสร้างระบบประกันสังคมที่ยั่งยืน หรือการอุดหนุนธุรกิจรายย่อย

จากนั้น นายชาดา ได้หันมาพูดถึงนโยบายแจกเงินดิจิทัล 10,000 บาท ของพรรคเพื่อไทย โดยระบุว่า 

"ผมเองก่อนหน้านี้ไม่เห็นด้วยกับการแจกเงินดิจิทัล 10,000 บาทซึ่งเป็นนโยบายของพรรคเพื่อไทย แต่ปัจจุบันผมเห็นด้วย ฝากท่านประธานไปถึงท่านนายกรัฐมนตรี (แพทองธาร ชินวัตร) ต้องแจกเงิน มีใครที่อยู่ข้างบนแจกไม่ได้ลงมาเอาคนอื่นขึ้นไปนั่ง 

ผมเรียนแบบนี้จริงๆ ถ้าไม่มีปัญญาทำให้นายกฯ ได้ลงมาเอาคนอื่นเยอะแยะที่เขาทำได้แล้วเงินมีเยอะ ตรงไหนที่ติดขัดก็แก้ซ่ะ ถ้าท่านไม่จัดการเรื่องดิจิทัลให้เรียบร้อย อย่าไปแจกใกล้ๆ เลือกตั้ง ผมบอกอย่าว่าแต่ 10,000 เลย 20,000 ก็แจกได้ ถ้าไม่แจกเขามาแน่นายกฯเท้ง"

นายชาดา ยังย้ำว่า การใช้จ่ายงบประมาณแผ่นดินเปรียบได้กับการบริหาร “ถังน้ำใหญ่” ที่เก็บจากภาษีของประชาชน แต่หากถังใบนั้นมีรูรั่ว น้ำย่อมไหลออกไปไม่ทั่วถึง และสุดท้ายจะนำมาซึ่งความไม่เป็นธรรมทางเศรษฐกิจและสังคม

“รัฐบาลต้องบริหารให้เงินไหลไปถึงทุกกลุ่ม ไม่ใช่ไหลไปเฉพาะกลุ่มทุนเท่านั้น ถ้าไม่กล้าปฏิรูปงบประมาณจริง ๆ ก็อย่าหวังว่าประชาชนจะยอมให้บริหารต่อไป”