จับตาสภาโหวตคว่ำ กฎหมาย "เงินดิจิทัลวอลเล็ต" นายกรัฐมนตรี ยุบสภา-ลาออก

17 ก.ค. 2567 | 02:12 น.
อัปเดตล่าสุด :17 ก.ค. 2567 | 02:29 น.

จับตาประชุมสภา โหวตรับ-ไม่รับร่างพ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายเพิ่มเติม “เงินดิจิทัลวอลเล็ต” 1.22 แสนล้านบาท วาระแรก ลุ้นระทึก กฎหมายการเงิน คว่ำ นายกรัฐมนตรีต้องยุบสภา-ลาออก

เงินดิจิทัลวอลเล็ต 10,000 บาท นโยบายเรือธงของรัฐบาลเศรษฐา ทวีสิน ที่มีพรรคเพื่อไทยเป็นแกนนำ เดินมาถึงทางสองแพร่ง (อีกครั้ง) และอาจเลวร้ายที่สุด นายกรัฐมนตรีต้องยุบสภา-ลาออก  

วันนี้ การประชุมสภาผู้แทนราษฎรจะพิจารณาร่างพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) งบประมาณรายจ่ายเพิ่มเติมประจำปีงบประมาณ พ.ศ.2567 พ.ศ. .... วงเงิน 1.22 แสนล้านบาท หรือ งบเงินดิจิทัลวอลเล็ต เพิ่มเติม จำนวน 6 มาตรา ประกอบด้วย 

มาตรา 1 พ.ร.บ.นี้เรียกว่า “พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายเพิ่มเติมประจำปีงบประมาณ พ.ศ.2567 พ.ศ. ....” 

มาตรา 2 พ.ร.บ.นี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันถัดจากวันประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป 

มาตรา 3 งบประมาณรายจ่ายเพิ่มเติมประจำประจำปีงบประมาณ พ.ศ.2567 ให้ตั้งเป็นจำนวนรวมทั้งสิ้น 122,000,000,000 บาท จำแนกเป็นรายจ่ายตามที่จะระบุต่อไปในพ.ร.บ.นี้ 

มาตรา 4 งบประมาณรายจ่ายเพิ่มเติมงบกลาง ให้ตั้งเป็นจำนวน 122,000,000,000 บาท จำแนกดังนี้ 

  • ค่าใช้จ่ายเพื่อการกระตุ้นเศรษฐกิจและสร้างความเข้มแข็งของระบบเศรษฐกิจ 122,000,000,000 บาท 

มาตรา 5 ให้กระทรวงการคลังมีอำนาจสั่งจ่ายเงินแผ่นดิน ตามรายการและจำนวนเงินที่กำหนดไว้ใน พ.ร.บ.นี้ หรือตามที่สำนักงบประมาณจะได้จัดสรร หรือตามที่จะได้มีการโอนเปลี่ยนแปลงตามกฎหมาย 

มาตรา 6 ให้นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังรักษาการตามพ.ร.บ.นี้ 

ทั้งนี้ เหตุผลและความจำเป็นของการเสนอตั้งงบประมาณรายจ่ายงบกลาง เนื่องจากเป็นค่าใช้จ่ายที่ต้องเตรียมไว้ให้แก่ส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจและหน่วยงานของรัฐที่ได้รับมอบหมายให้ดำเนินมาตรการเพื่อการกระตุ้นเศรษฐกิจและกระจายเม็ดเงินไปในพื้นที่ต่าง ๆ และเพื่อรักษาระดับการบริโภคและการลงทุนในประเทศ ซึ่งจะเป็นการเพิ่มสภาพคล่องให้แก่ประชาชนในการดำรงชีพและประกอบอาชีพ อีกทั้งยังเป็นการรักษาความสามารถในการแข่งขันของประเทศ จึงจำเป็นต้องเสนอเป็นภาพรวมไว้ในงบกลาง 

ขณะที่ประมาณการเงินที่พึงได้มาสำหรับจ่ายตามงบประมาณรายจ่ายเพิ่มเติมประจำปีงบประมาณ พ.ศ.2567 

  • ข้อสมมติฐานทางเศรษฐกิจที่เปลี่ยนแปลงไป อัตราขยายตัวทางเศรษฐกิจ (Real GDP) 2.2-3.2 % ประมาณการใหม่ 2.0-3.0 % เงินเฟ้อ ดัชนีราคาผู้บริโภค 0.9-1.9 % .ใหม่ 0.1-1.1 % GDP Deflator 0.9-1.9 % ใหม่ 0.3-1.3 % ผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (DGP) 18,656,000 ล้านล้านบาท ใหม่ 18,513,500 ล้านล้านบาท 
  • คาดการณ์รายได้ที่เพิ่มขึ้นในปีงบประมาณ พ.ศ.2567 ประมาณการรายได้ที่คาดว่าจะได้รับเพิ่มเติมขึ้นจากประมาณการจำนวน 10,000 ล้านบาท เนื่องจากคาดว่าจะมีรายได้เพิ่มขึ้นจากส่วนราชการอื่น
  • ประมาณการเงินที่พึงได้มาสำหรับจ่ายตามงบประมาณรายจ่ายเพิ่มเติมประจำปีงบประมาณ พ.ศ.2567 ได้แก่ ภาษีและรายได้อื่น โดยเป็นแหล่งเงินจากการจัดเก็บรายได้ที่เดิมไม่ได้กำหนดไว้ในประมาณการ 10,000 ล้านบาท และเงินกู้เพื่อชดเชยการขาดดุลงบประมาณ 112,000 ล้านบาท 

ทั้งนี้ กรอบวงเงินกู้เพื่อชดเชยการขาดดุลงบประมาณสูงสุดที่รัฐบาลกู้ได้ในปีงบประมาณ พ.ศ.2567 ตามพ.ร.บ.การบริหารหนี้สาธารณะ พ.ศ.2548 และที่แก้ไขเพิ่มเติมมาตรา 21 จะมีจำนวยรวมทั้งสิ้น 815,056 ล้านบาท ซึ่งตามพ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ.2567 และงบประมาณรายจ่ายเพิ่มเติมประจำปีงบประมาณ พ.ศ.2567 จะมีการขาดดุลงบประมาณ รวมจำนวน 805,000 ล้านบาท ดังนั้น จึงยังมีกรอบวงเงินกู้คงเหลืออีก 10,056 ล้านบาท 

ร่างพ.ร.บ.งบรายจ่ายเพิ่มเติมปี 67 สำหรับ “เงินดิจิทัลวอลเล็ต” ถือเป็น “กฎหมายการเงิน” ดังนั้นหากที่ประชุมสภาในวันนี้ลงมติ “ไม่เห็นชอบ” ตามธรรมเนียม-ประเพณีการปกครองรัฐบาลต้องแสดงสปิริต “ลาออก” หรือ “ยุบสภา” 

ในอดีตรัฐบาลที่ผ่านมาที่ “กฎหมายสำคัญ” ของรัฐบาลที่ไม่ได้รับความเห็นชอบจากสภา นายกรัฐมนตรีต้องยุบสภา-ลาออก 5 ครั้ง 

  • ครั้งแรก วันที่ 22 กันยายน 2477 พระยาพหลพลพยุหเสนา ลาออก หลังสภาไม่อนุมัติสนธิสัญญาจำกัดยาง 
  • ครั้งที่สอง วันที่ 24 กรกฎาคม 2487 จอมพล ป. พิบูลสงคราม ลาออก หลังจากสภาลงมติไม่เห็นด้วย กับ พ.ร.ก.ระเบียบการบริหารนครบาลเพชรบูรณ์ และ พ.ร.ก.สร้างพระพุทธบุรีมณฑล เพื่อสร้างเมืองหลวงใหม่
  • ครั้งที่สาม วันที่ 18 มีนาคม 2489 นายควง อภัยวงศ์ ลาออก หลังสภาลงมติไม่เห็นด้วย พ.ร.บ.คุ้มครองค่าใช้จ่ายของประชาชนในภาวะคับขัน พ.ศ.2548 
  • ครั้งที่สี่ พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ - รัฐบาลเปรมสอง ยุบสภา หลังสภาลงมติไม่เห็นด้วยกับ พ.ร.ก.ขนส่งทางบก 
  • ครั้งที่ห้า วันที่ 29 เมษายน 2531 พล.อ.เปรม ยุบสภาอีกครั้ง หลังจากสภาลงมติไม่เห็นด้วยกับ พ.ร.บ.ลิขสิทธิ์

ทว่ารัฐบาลนายเศรษฐาปัจจุบันมีทั้งหมด 314 เสียง โดยมี “พรรคร่วมหลัก 6 พรรค ประกอบด้วย พรรคเพื่อไทย 141 เสียง พรรคภูมิใจไทย 71 เสียง พรรคพลังประชารัฐ 40 เสียง พรรครวมไทยสร้างชาติ 36 เสียง พรรคชาติไทยพัฒนา 10 เสียง พรรคประชาชาติ 9 เสียง

ส่วน 314 เสียงจะเหนียวแน่นหรือไม่ รอวัดใจ 6 พรรคการเมือง-พรรคร่วมรัฐบาลหลัก