มาตรการลดค่าไฟฟ้ารอบเดือนก.ย.-ธ.ค.66 ในอัตรา 3.99 บาทต่อหน่วย สำหรับกลุ่มเปราะบางใช้ไฟฟ้าไม่เกิน 300 หน่วยต่อเดือน 17.77 ล้านราย ใช้งบ 1,950 ล้านบาท
งวดล่าสุด กกพ.มีมติกำหนดอัตราค่าไฟฟ้ารอบเดือน ม.ค.67 -เม.ย.67 ไว้ที่ 4.18 บาทต่อหน่วย ส่วนค่าไฟฟ้ากลุ่มเปราะบางใช้ไฟไม่เกิน 300 หน่วยต่อเดือน ให้คงราคาเดิมไว้ที่ 3.99 บาทต่อหน่วย ใช้งบกลาง ฯ ปี 66 ไปพลางก่อน วงเงิน 1,950 ล้านบาท
ตรึงราคาน้ำมันดีเซลไม่ให้เกิน 30 บาทต่อลิตร 3 เดือน ตั้งแต่วันที่ 20 ก.ย.66 – 31 ธ.ค. 66 รัฐสูญเสียการจัดเก็บรายได้ ประมาณ 15,000 ล้านบาท
ต่ออายุราคาน้ำมันดีเซลไม่ให้เกิน 30 บาทต่อลิตรต่อไปอีก ตั้งแต่วันที่ 1 ม.ค.67-31 มี.ค.67 โดยจะเสนอ ครม.ในวันที่ 16 ม.ค.นี้ ซึ่งคาดว่าจะสูญเสียรายได้ใกล้เคียงกับครั้งก่อน คือ 15,000 ล้านบาท
ช่วงเทศกาลปีใหม่มอบของขวัญ ลดราคาน้ำมันเบนซิน แก๊สโซฮอล์ 91 ลดลง 2.50 บาทต่อลิตร แก๊สโซฮอลล์ 95 ลดลง 1 บาทต่อลิตร แก๊สโซฮอล์ อี 20 และ อี 85 ลดลง 0.80 บาทต่อลิตร มีผลตั้งแต่วันที่ 7 พ.ย.66 – 31 ม.ค.67 สูญเสียรายได้จัดเก็บภาษี 2,700 ล้านบาท
พยุงราคาก๊าซหุงต้ม (LPG) ตรึงราคาขายปลีกแอลพีจี ที่ระดับ 423 บาทต่อถัง 15 กิโลกรัม ตั้งแต่วันที่ 1 ต.ค.66-31 ธ.ค.66
ตรึงราคาก๊าซแอลพีจี ขายส่งหน้าโรงกลั่น ที่ 20.9179 บาทต่อกิโลกรัม (ไม่รวม VAT) ราคาขายปลีกแอลพีจี 423 บาทต่อถัง 15 กิโลกรัม 1 ม.ค.67-31 มี.ค.67 เงินกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง 9 ล้านบาท
พักหนี้เกษตรกร เฟสแรก ระยะเวลา 1 ปี หรือ ตั้งแต่วันที่ 1 ต.ค.66 – 30 ก.ย.67 ที่มีหนี้รายละไม่เกิน 3 แสนล้าน จำนวน 2.698 ล้านราย มูลหนี้รวม 2.83 แสนล้านบาท ใช้งบประมาณรวม 11,096 ล้านบาท
มาตรการพักหนี้ทั้งระบบ 3 มาตรการ วงเงินรวม 4,900 ล้านบาท แบ่งออกเป็น การแก้ไขหนี้นอกระบบ ผ่านมาตรการสินเชื่อเพื่อช่วยเหลือและรองรับลูกหนี้นอกระบบ
การแก้ไขหนี้ในระบบ กลุ่มลูกหนี้ที่ได้รับผลกระทบจากโควิด-19 ทำให้ไม่สามารถชำระหนี้คืนได้ จำนวน 2 มาตรการ ประกอบด้วย
1.มาตรการช่วยเหลือลูกหนี้รายย่อยที่ได้รับผลกระทบจากโรคโควิด 19 ตามโครงการสินเชื่อเพื่อเป็นค่าใช้จ่ายสำหรับผู้มีอาชีพอิสระที่ได้รับผลกระทบจากโรคโควิด-19
2.มาตรการช่วยเหลือพักหนี้ผู้ประกอบการวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (Small and Medium Enterprises (SMEs) ที่ได้รับผลกระทบจากโรคโควิด-19
มาตรการรักษาเสถียรภาพราคาข้าวเปลือก ปีการผลิต 2566/67 จำนวน 2 โครงการ
1.โครงการสินเชื่อชะลอการขายข้าวนาปี วงเงินรวม 44,557 ล้านบาท แบ่งเป็น วงเงินสินเชื่อ 34,437 ล้านบาท วงเงินจ่ายขาด 10,120 ล้านบาท
2.โครงการสินเชื่อเพื่อรวบรวมข้าวและสร้างมูลค่าเพิ่มโดยสถาบันเกษตรกร วงเงินรวม 10,481 ล้านบาท แบ่งเป็น วงเงินสินเชื่อ 10,000 ล้านบาท วงเงินจ่ายขาด 481 ล้านบาท
โครงการสนับสนุนค่าบริหารจัดการและพัฒนาคุณภาพผลผลิตเกษตรกรผู้ปลูกข้าว ปีการผลิต 2566/67 สำหรับเกษตรกรปลูกข้าว ไร่ละ 1,000 บาท ไม่เกินครัวเรือนละ 20 ไร่ (ไม่เกิน 20,000 บาท) จำนวน 4.68 ล้านครัวเรือน วงเงิน 56,321 ล้านบาท
หากนับรวมมาตรการ Easy E-Receipt คาดว่าจะมีผู้ใช้สิทธิ์ 1.4 ล้านคน สูญเสียรายได้ 70,000 ล้านบาท และสูญเสียรายได้ภาษีบุคคลธรรมดา 10,850 ล้านบาท แต่จะทำให้จีดีพีเพิ่ม 0.18 %
เหลือเพียง “ยาแรง” กระตุ้นเศรษฐกิจชุดใหญ่อย่างการแจก “ดิจิทัลวอลเลต” คนละ 10,000 บาท 50 ล้านคน เป็นเงินกว่า 5 แสนล้านบาท ที่ยังลูกผีลูกคน หลังจากกฤษฎีกาตอบความเห็นข้อกฎหมายกลับมายังกระทรวงการคลังแบบคาบลูกคาบดอก
รอเพียง “บอร์ดดิจิทัลชุดใหญ่” ที่มี “เศรษฐา” นั่งหัวโต๊ะ หลังวันที่ 19 มกราคม เมื่อกลับจากการประชุม World Economic Forum เมืองดาวอส สวิตเซอร์แลนด์ ตัดสินใจลุยไฟหรือไม่ โดยเตรียมใช้งบประมาณปี 68 เป็น “แผนสำรอง”
รัฐบาลเศรษฐาคาดหวังว่าเมื่อเศรษฐกิจดี-ปากท้องอิ่มจะสามารถแก้ปัญหาการเมืองทั้งเรื่องแก้ไขรัฐธรรมนูญ ที่ “ภูมิธรรม เวชยชัย” รองนายกรัฐมนตรี ต้องรับบทเป็น “หนังหน้าไฟ” กับคนเห็นแตกต่าง
หรือกรณีระเบียบกรมราชทัณฑ์ว่าด้วยการดำเนินการสำหรับการคุมขังในสถานที่คุมขัง พ.ศ. 2566 ที่ถูกกังขาว่า เอื้อประโยชน์ให้กับ “ทักษิณ ชินวัตร” นักโทษเด็ดขาด
ผสมโรงกับการผู้ชุมนุมของกลุ่มเครือข่ายนักศึกษาประชาชนปฏิรูปประเทศไทย (คปท.) ที่ตั้งเวทีเรียกแขก-ปราศรัยข้างทำเนียบรัฐบาล ประท้วงที่ “ทักษิณ” ติดคุกทิพย์อยู่โรงพยาบาลตำรวจ ชั้น 14 ล่วงเลยระยะเวลากว่า 120 วันเข้าไปแล้ว
123 วันของเศรษฐา ใช้เงินแก้ปัญหาเศรษฐกิจไปแล้วคร่าว ๆ 185,377 ล้านบาท (ไม่รวมเงินดิจิทัล 5 แสนล้าน) ซุกปัญหาการเมืองระดับโครงสร้างความเหลื่อมล้ำทางการเมือง-เศรษฐกิจไว้ใต้พรม