จุดยืนพรรคก้าวไกล ร่างรัฐธรรมนูญใหม่ทั้งฉบับ ไม่กระทบรูปแบบการปกครอง

10 ธ.ค. 2566 | 09:17 น.

ไอติม-พริษฐ์ แถลงจุดยืน พรรคก้าวไกล ร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ โดย สสร.มาจากการเลือกตั้งของประชาชนทั้งหมด ยืนยัน ไม่กระทบรูปแบบการปกครอง-รูปแบบรัฐ โยน โมเดล 1+2 แนวคำถามประชามติ

วันที่ 10 ธันวาคม 2566 ที่อาคารอนาคตใหม่ นายพริษฐ์ วัชรสินธุ สส.บัญชีรายชื่อและโฆษกพรรคก้าวไกล แถลงข่าวในหัวข้อ “ก้าวแรกรัฐธรรมนูญประชาชน ประชามติต้อง 1+2 คำถาม” สรุปข้อเสนอของพรรคก้าวไกลต่อนโยบายและกระบวนการจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ เนื่องในโอกาสวันรัฐธรรมนูญ 10 ธันวาคม ว่า เนื่องจากรัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบันมีปัญหาในเรื่องความชอบธรรมทางประชาธิปไตย ทั้งในส่วนที่มา กระบวนการและเนื้อหา พรรคก้าวไกลจึงเห็นว่า ประเทศไทยควรจะต้องมีการจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ทั้งฉบับ 

นายพริษฐ์กล่าวว่า แต่หากจะแก้ไขปัญหาได้ รัฐธรรมนูญฉบับใหม่ต้องไม่ใหม่แค่โดยชื่อ แต่ควรเป็นรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ที่มีอีก 3 องค์ประกอบด้วยกัน กล่าวคือ 1.เกิดขึ้นได้จริงโดยเร็วที่สุด 2.มีความชอบธรรมทางประชาธิปไตย และ 3.มีกระบวนการในการได้มาที่โอบรับจุดยืนที่แตกต่างของทุกฝ่าย

นายพริษฐ์กล่าวว่า หากจะเดินตามกติกาของรัฐธรรมนูญ 2560 และคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ ทุกฝ่ายเห็นตรงกันว่าการจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่โดยสภาร่างรัฐธรรมนูญ (สสร.) จะต้องจัดประชามติอย่างน้อย 2 ครั้ง กล่าวคือ 1.ประชามติ B  คือ การจัดประชามติที่เกิดจากการแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญ 2560 ในมาตรา 256 และหมวด 15/1 เพื่อให้มีกลไก สสร. ขึ้นมา ซึ่งจะต้องมีการทำประชามติหลังจากผ่านความเห็นชอบของรัฐสภา เนื่องจากเป็นการแก้ไขเกี่ยวกับกระบวนการแก้ไขรัฐธรรมนูญ (ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 256(8))

นายพริษฐ์กล่าวว่า และ 2. ประชามติ C คือการจัดทำประชามติ หลังจาก สสร. ยกร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่เสร็จแล้ว เพื่อให้ประชาชนได้พิจารณาเนื้อหาของร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ (ตามคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ 4/2564)

“แต่ในส่วนของ ประชามติ A ที่บางฝ่ายเสนอให้จัดเพิ่มขึ้นมา ก่อนมีการเสนอร่างแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญ 2560 ในมาตรา 256 และหมวด 15/1 เข้าสู่สภาฯ หลายฝ่ายยังมองต่างกันว่าจำเป็นต้องจัดหรือไม่”นายพริษฐ์กล่าว

นายพริษฐ์กล่าวว่า ในมุมกฎหมาย พรรคก้าวไกลเห็นว่าประชามติ A ไม่มีความจำเป็น และหากยึดตามรัฐธรรมนูญและคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ การทำประชามติ 2 ครั้ง (B และ C) ก็น่าจะเพียงพอแล้ว แต่ในมุมการเมือง พรรคก้าวไกลเห็นว่า การจัดทำประชามติ A นั้นอาจมีประโยชน์ในการแก้ไขปัญหาความเห็นต่างใน 2 ด้าน

นายพริษฐ์กล่าววว่า ด้านที่ 1 ทำให้ ความเห็นต่างทางกฎหมาย (ในการตีความคำวินิจฉัยศาล รธน. 4/2564 ว่าจะต้องจัดทำประชามติ A หรือไม่) ไม่เป็นอุปสรรคเหมือนปี 2563-64 ที่สมาชิกรัฐสภาบางส่วนไม่ยอมลงคะแนนเห็นชอบกับร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญเรื่อง สสร. โดยให้เหตุผลว่า เป็นเพราะไม่มีการจัดทำประชามติ A มาก่อน

นายพริษฐ์กล่าวว่า ด้านที่ 2 ทำให้ ความเห็นต่างทางการเมือง เช่น เรื่องที่มาและขอบเขตอำนาจของ สสร. ไม่เป็นอุปสรรคต่อการที่รัฐสภาจะมีฉันทามติร่วมกันในการให้ความเห็นชอบร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญเรื่อง สสร. เพราะตนเชื่อว่าทุกฝ่ายจะพร้อมเดินหน้าสนับสนุนร่างที่มีเนื้อหาที่สอดคล้องกับผลของประชามติที่ประชาชนไปออกเสียง

นายพริษฐ์กล่าวว่า ในเมื่อข้อเสนอเดิมของพรรคก้าวไกลเกี่ยวกับคำถามประชามติ A (1 คำถามว่า “ท่านเห็นชอบหรือไม่ว่าประเทศไทยควรมีการจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ทั้งฉบับแทนที่รัฐธรรมนูญ 2560 โดยสภาร่างรัฐธรรมนูญที่มาจากการเลือกตั้งของประชาชน?”) ถูกสภาผู้แทนราษฎรปัดตกเมื่อ 25 ต.ค. 2566 พรรคก้าวไกลจึงได้พัฒนาข้อเสนอใหม่เกี่ยวกับคำถามประชามติ A ที่เราได้ยื่นต่อคณะกรรมการศึกษาฯ ของรัฐบาลเมื่อเดือนที่แล้ว

“พรรคก้าวไกลเสนอว่า การจัดทำประชามติ A (หากจะมีขึ้น) ควรเป็นการถามคำถามทั้งหมด 1+2 คำถาม เพื่อวัตถุประสงค์ในการแก้ไขปัญหาความเห็นต่าง”นายพริษฐ์กล่าว

นายพริษฐ์กล่าวว่า 1 คำถามหลัก “ท่านเห็นชอบหรือไม่ว่าควรมีการจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ โดยสภาร่างรัฐธรรมนูญ (สสร.)?” (โดยไม่เป็นการเปลี่ยนแปลงการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข และไม่เป็นการเปลี่ยนแปลงรูปแบบของรัฐ)
นายพริษฐ์กล่าวว่า เหตุผล คำถามหลักควรมีลักษณะเปิดกว้างที่สุด เพื่อสร้างความเห็นร่วมได้มากที่สุด และเป็นคำถามที่ถามถึงทิศทางภาพรวม โดยไม่มีเงื่อนไขหรือรายละเอียดปลีกย่อยที่จะทำให้ประชาชนอาจจะเห็นด้วยกับบางส่วนของคำถาม หรือไม่เห็นด้วยกับบางส่วนของคำถาม หรือกีดกันใครออกจากกระบวนการจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่

นายพริษฐ์กล่าวว่า 2 คำถามรองที่ 1  “ท่านเห็นชอบหรือไม่ว่า สสร. ควรจะมาจากการเลือกตั้งของประชาชนทั้งหมด?” และ คำถามรองที่ 2 “ท่านเห็นชอบหรือไม่ว่า สสร. ควรมีอำนาจพิจารณาร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ทุกหมวด?” (ตราบใดที่ไม่เป็นการเปลี่ยนแปลงการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข และไม่เป็นการเปลี่ยนแปลงรูปแบบของรัฐ)

นายพริษฐ์กล่าวว่า เหตุผล คำถามรอง ควรมีลักษณะเฉพาะเจาะจงไปในประเด็นสำคัญที่แต่ละฝ่ายทางการเมืองยังมีความเห็นต่างกันอยู่ เพื่อให้ประชาชนเป็นผู้ตัดสินและหาข้อสรุปด้วยตนเอง โดยที่ทุกฝ่ายในรัฐสภาพร้อมยอมรับและเดินหน้าต่อร่วมกันตามผลประชามติ

“แน่นอนว่าในส่วนของพรรคก้าวไกล เรามีจุดยืนและคำตอบที่ชัดเจนต่อ 1+2 คำถาม คำถามหลัก เราเห็นชอบให้มีการจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่โดย สสร.”นายพริษฐ์กล่าว

นายพริษฐ์กล่าวว่า คำถามรองที่ 1 เราเห็นชอบว่า สสร. ควรมาจากการเลือกตั้งของประชาชนทั้งหมด โดยเรามองว่าข้อกังวลจากบางฝ่ายว่า สสร. เลือกตั้งทั้งหมด จะทำให้ สสร. ขาดพื้นที่สำหรับ ผู้เชี่ยวชาญ หรือ กลุ่มความหลากหลาย เป็นข้อกังวลที่คลี่คลายได้ผ่านการออกแบบระบบเลือกตั้ง โดยยังคงยึดหลักว่า สสร. มาจากการเลือกตั้งของประชาชนทั้งหมด (ปัจจุบัน มีหลายข้อเสนอที่กำลังถูกพัฒนาโดยคณะอนุกรรมาธิการของคณะกรรมาธิการพัฒนาการเมืองฯ ซึ่งจะเผยแพร่ต่อสาธารณะในเดือนนี้ เช่น การใช้ประเทศเป็นเขตเลือกตั้ง และเปิดให้สมัครเป็นทีมโดยใช้ระบบบัญชีรายชื่อ / การแบ่ง สสร. ออกเป็นหลายประเภท-หลายบัตรเลือกตั้ง แต่ทุกประเภทยังมาจากการเลือกตั้งทั้งหมด)

นายพริษฐ์กล่าวว่า คำถามรองที่ 2 เราเห็นชอบว่า สสร. ควรมีอำนาจพิจารณาร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ทุกหมวด 

“โดยเรายืนยันว่าการให้ สสร. มีอำนาจพิจารณาเนื้อหาในหมวด 1-2 จะไม่กระทบรูปแบบการปกครองหรือรูปแบบรัฐตามที่บางฝ่ายกังวล เนื่องจากมาตรา 255 ของรัฐธรรมนูญ 2560 กำหนดไว้ชัดว่าการแก้ไขรัฐธรรมนูญใด ๆ จะต้องไม่นำไปสู่การเปลี่ยนแปลงระบอบการปกครองหรือรูปแบบรัฐ รวมถึงการจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ที่ผ่านมา (2540 2550 2560) ก็มีการปรับปรุงเนื้อหาในหมวด 1-2 มาโดยตลอด โดยไม่กระทบรูปแบบการปกครองหรือรูปแบบของรัฐ”นายพริษฐ์กล่าว

นายพริษฐ์กล่าวว่า แม้ประชาชนแต่ละคนหรือฝ่ายการเมืองกลุ่มต่าง ๆ อาจมีจุดยืนหรือ คำตอบ ต่อ 1+2 คำถาม ที่ต่างจากเรา แต่เราอยากเชิญชวนทุกคน ทุกกลุ่ม มาเห็นร่วมกับเราว่า คำถาม ประชามติที่ตอบโจทย์ที่สุดสำหรับประชามติ A คือ 1+2 คำถามที่เราเสนอ เพราะการตั้งคำถามดังกล่าวจะมีความชอบธรรมทางประชาธิปไตย เนื่องจากเป็นการให้อำนาจประชาชนตัดสินใจเกี่ยวกับประเด็นสำคัญโดยตรง โอบรับจุดยืนของทุกฝ่าย เนื่องจากไม่ว่าใครจะมีความเห็นอย่างไร ทุกคนสามารถมีตัวเลือกคำตอบในการลงคะแนนหรือออกความเห็นในแต่ละคำถามได้ และมีส่วนสำคัญในการแก้ไขปัญหาความเห็นที่แตกต่าง และเพิ่มโอกาสในการจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ให้เกิดขึ้นจริงได้ 

“เมื่อเราถามคำถามหลักที่กว้าง นั่นหมายความว่า ไม่ว่าท่านจะเห็นในรายละเอียดต่างกันอย่างไร แต่หากท่านเห็นตรงกันในภาพรวมว่า ควรมีการจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ ก็สามารถมาลงคะแนนเห็นชอบร่วมกันได้ ขณะที่คำถามรองที่เฉพาะเจาะจง ถ้าเราไม่ถามตั้งแต่ประชามติ A ความเห็นต่างที่ยังมีอยู่ในประเด็นดังกล่าวก็จะยังคงไม่มีข้อสรุป และจะทำให้รัฐสภาหาข้อสรุปได้ยากด้วยเงื่อนไขมาตรา 256 ที่บอกว่าร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญใด ๆ เรื่องรายละเอียดของ สสร. นั้นจะต้องได้ฉันทามติในระดับหนึ่งจากทุกฝ่าย”นายพริษฐ์กล่าว

นายพริษฐ์กล่าวว่า ในช่วงบ่ายวันนี้ พรรคก้าวไกลจะมีการเปิดตัวเว็บไซต์ให้ประชาชนได้มีส่วนร่วมแสดงความเห็นต่อทั้ง 1+2 คำถาม เป็นสนามซ้อมประชามติให้ประชาชนทดลองตอบ สร้างความเข้าใจกับคำถามประชามติ และหากประชาชนเห็นตรงกันกับพรรคก้าวไกล ว่าคำถามแบบนี้จะเป็นวิธีการที่ดีที่สุดที่จะแก้ปัญหาความเห็นต่างที่ยังมีอยู่ในการจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ให้มีความชอบธรรมทางประชาธิปไตยได้

"ตนก็อยากเชิญทุกคนให้ช่วยกันจับตาและส่งเสียงให้ข้อเสนอดังกล่าวได้รับการสนับสนุนให้ไปถึงรัฐบาลก่อนที่ ครม. จะมีมติเกี่ยวกับการจัดประชามติและคำถามประชามติหลังปีใหม่"นายพริษฐ์กล่าว