เหตุการณ์รัฐประหาร ในประเทศไทยปี พ.ศ. 2549 ซึ่งเป็นการรัฐประหารครั้งที่ 12 ของไทย (นับตั้งแต่มีการเปลี่ยนแปลงการปกครองในปี 2475) เกิดขึ้นในคืน วันที่ 19 กันยายน โดยคณะปฏิรูปการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข หรือ คปค. ซึ่งเป็นคณะบุคคลอันประกอบด้วยกลุ่มทหาร ตำรวจ และพลเรือน มี พลเอกสนธิ บุญยรัตกลิน ผู้บัญชาการทหารบกในขณะนั้น เป็นหัวหน้า ได้เข้ายึดอำนาจการปกครองจากรัฐบาลพลเรือนที่มีพันตำรวจโท ทักษิณ ชินวัตร เป็นนายกรัฐมนตรี นับเป็นครั้งแรกที่มีการระบุสาเหตุการทำรัฐประหารว่า เป็นเพราะผู้นำรัฐบาลไม่มีคุณธรรม-จริยธรรม ซึ่งไม่เคยปรากฏเป็นเหตุผลในการรัฐประหารครั้งก่อนๆ
วังวนของการรัฐประหาร
ปีนี้ ครบรอบ 17 ปีการเกิดเหตุการณ์ดังกล่าวที่หลายคนเรียกว่าเป็นการถอดปลั๊กประเทศไทยจากสารบบของโลกประชาธิปไตย มองย้อนกลับไปจะเห็นได้ว่า ประเทศไทยได้ผ่านอะไรมามาก หลังรัฐประหารครั้งนั้น แม้จะมีรัฐบาลพลเรือนจากการเลือกตั้งขึ้นมาสลับบ้าง แต่ก็เป็นชั่วระยะเพียงสั้นๆ ได้แก่
คณะรัฐประหารปี 2549 ภายใต้การนำของพลเอกสนธิ บุญยรัตกลิน ยึดอำนาจจากรัฐบาลรักษาการของทักษิณ ชินวัตร นายกรัฐมนตรีขณะนั้น ซึ่งอยู่ระหว่างการเดินทางไปยังสหรัฐอเมริกาเพื่อร่วมการประชุมขององค์การสหประชาชาติ หลังจากเกิดเหตุการณ์ประชาชนจำนวนมากออกมาประท้วงขับไล่นายกฯทักษิณ ออกจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรีอย่างต่อเนื่องและยาวนาน ทั้งนี้ มีการออกสมุดปกขาว ชี้แจงสาเหตุของรัฐประหารยึดอำนาจ โดยมีสาระสำคัญ ได้แก่ การทุจริตผลประโยชน์ทับซ้อน การใช้อำนาจในทางมิชอบ การละเมิดจริยธรรมคุณธรรมของผู้นำประเทศ การแทรกแซงระบบการตรวจสอบทางการเมืองตามรัฐธรรมนูญ ข้อผิดพลาดเชิงนโยบายที่นำไปสู่การละเมิดสิทธิเสรีภาพ และการบ่อนทำลายความสามัคคีของคนในชาติ
หลังการรัฐประหาร คณะคปค. ได้ยกเลิกการเลือกตั้งซึ่งกำหนดจัดในเดือนตุลาคมปีนั้น และยังยกเลิกรัฐธรรมนูญ (นับเป็นการฉีกรัฐธรรมนูญปี 2540 ซึ่งได้ชื่อว่าเป็นรัฐธรรมนูญที่มาจากการมีส่วนร่วมของประชาชนทุกภาคส่วนและมีความเป็นประชาธิปไตยมากที่สุด) สั่งยุบรัฐสภา สั่งห้ามการประท้วงและกิจกรรมทางการเมือง ยับยั้งและตรวจพิจารณาสื่อ ประกาศใช้กฎอัยการศึก และจับกุมสมาชิกคณะรัฐมนตรีหลายคน
คปค. บริหารประเทศตั้งแต่คืนวันที่ 19 กันยายน 2549 จนถึงวันที่ 1 ตุลาคม 2549 ซึ่งมีการประกาศใช้รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (ฉบับชั่วคราว) พุทธศักราช 2549 จากนั้นก็แปรสภาพเป็น “คณะมนตรีความมั่นคงแห่งชาติ” หรือ คมช. (Council of National Security :CNS) มีการจัดตั้งรัฐบาลชั่วคราว โดยมีพระบรมราชโองการโปรดเกล้า ฯ ให้แต่งตั้งพลเอก สุรยุทธ์ จุลานนท์เป็นนายกรัฐมนตรีในวันที่ 1 ตุลาคม พ.ศ. 2549
ถึงแม้รัฐประหารครั้งนั้น จะไม่มีการเสียเลือดเนื้อและไม่มีรายงานผู้ได้รับบาดเจ็บ แต่ปฏิกิริยาตอบรับจากนานาชาติก็เป็นไปในเชิงลบ มีเพียงบางประเทศที่แสดงความเป็นกลาง เช่น จีน ขณะที่สหรัฐอเมริกา ซึ่งถือว่าประเทศไทยเป็นพันธมิตรนอกองค์การนาโต ระบุว่า การทำรัฐประหาร "ไม่มีเหตุผลที่จะยอมรับได้"
การเริ่มต้นใหม่ของประชาธิปไตย
17 ปีผ่านไป ทักษิณ ชินวัตร กลับมารับโทษแล้วหลังจากหนีคดีอยู่ในต่างแดนนานกว่าทศวรรษ และไทยก็ได้กลับมามีรัฐบาลพลเรือนจากการเลือกตั้งตามระบอบประชาธิปไตยอีกครั้ง แม้จะไม่ใสสะอาดไร้คราบเงาของกองทัพเสียทีเดียวหากจะยึดกับนิยามที่ว่า “พรรคสองลุง” ซึ่งหมายถึงพรรคพลังประชารัฐ และพรรครวมไทยสร้างชาติ เป็นพรรคการเมืองที่ก่อตั้งขึ้นมาภายใต้ร่มเงาของนายทหารในกองทัพ ได้เข้ามาเป็นพรรคร่วมรัฐบาลด้วย กรณีดังกล่าวทำให้พรรคเพื่อไทย ที่เป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาล ต้องสะบั้นสัมพันธ์กับพรรคก้าวไกลและพรรคไทยสร้างชาติ ที่เคยจับมือเป็นพันธมิตรเซ็น MOU กันในช่วงระยะสั้นๆ เพราะสองฝ่ายหลังยืนยันไม่ร่วมทำงานกับพรรคพลังประชารัฐและพรรครวมไทยสร้างชาติที่ได้ชื่อว่าเป็นพรรคทหาร
คุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ หัวหน้าพรรคไทยสร้างไทย ผู้ซึ่งอยู่ร่วมเหตุการณ์กล่าวถึงรัฐประหาร 19 กันยายน 2549 ว่า การรัฐประหาร พ.ศ. 2549 ได้ก่อให้เกิดบาดแผลต่อประชาชนชาวไทยและต่อประเทศชาติมากมาย มีการสร้างวาทะกรรมทำให้เกิดการเกลียดชัง และประชาชนแตกแยกออกเป็นฝ่ายเสื้อเหลือง เสื้อแดง จนเกิดการต่อสู้ มีการปราบปราม ทั้งเสื้อเหลืองเสื้อแดงบาดเจ็บล้มตายและสูญสิ้นอิสรภาพจำนวนมาก นั่นยังไม่นับรวม ความสูญเสียทางเศรษฐกิจที่ไทยต้องสูญเสียความสามารถในการแข่งขันทุกด้าน จากที่เคยเป็นผู้นำอาเซียนก็กลายเป็น “คนป่วยแห่งอาเซียน” รั้งลำดับท้ายในอาเซียนแทบจะทุกด้าน
“17 ปีที่หายไปประเทศไทยและคนไทย สูญเสียโอกาสและอนาคตไปมากมาย แต่บัดนี้คู่ขัดแย้งได้กลับมาจับมือปรองดอง จัดตั้งรัฐบาลร่วมกันแล้ว ซึ่งอาจมีทั้งคนเห็นด้วย และไม่เห็นด้วยกล่าวหาว่าตระบัดสัตย์ก็ตาม แต่ก็เป็นเวลาที่ผู้ที่ได้อำนาจจากความสูญเสียของประชาชนตลอด 17 ปี จะต้องพิสูจน์ตัวเองว่า ทำเพื่อประชาชนอย่างที่ได้พร่ำบอก หรือเป็นการทำเพื่อพวกพ้อง เพื่อผลประโยชน์ของนักการเมืองพวกพ้องตนเอง รวมทั้งขุนศึกและนายทุน ที่ร่วมมือกันจนได้อำนาจมาในปัจจุบันเท่านั้น” เป็นเสียงสะท้อนที่ทิ้งไว้ให้ได้คิด และคงจะเหมือนกับอีกหลายล้านคำในใจของหลายๆคนเช่นกัน
ขอบคุณข้อมูลจาก สถาบันพระปกเกล้า /วิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี