ย้อนมอง 17 ปี รัฐประหาร 19 ก.ย. 2549 บทเรียนประเทศไทย เจ็บต้องจำอย่าซ้ำรอยเดิม

19 ก.ย. 2566 | 22:58 น.
อัปเดตล่าสุด :20 ก.ย. 2566 | 05:07 น.

ปีนี้ครบรอบ 17 ปีการก่อรัฐประหาร 19 กันยายน 2549 เหตุการณ์ดังกล่าวหลายคนเรียกว่าเป็นการถอดปลั๊กประเทศไทยจากสารบบของโลกประชาธิปไตย มองย้อนกลับไปจะเห็นได้ว่า ประเทศไทยได้ผ่านอะไรมามาก มีหลายบทเรียนที่ต้องจดจำและไม่ควรให้เกิดขึ้นซ้ำๆได้อีก

 

เหตุการณ์รัฐประหาร ในประเทศไทยปี พ.ศ. 2549 ซึ่งเป็นการรัฐประหารครั้งที่ 12 ของไทย (นับตั้งแต่มีการเปลี่ยนแปลงการปกครองในปี 2475) เกิดขึ้นในคืน วันที่ 19 กันยายน โดยคณะปฏิรูปการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข หรือ คปค. ซึ่งเป็นคณะบุคคลอันประกอบด้วยกลุ่มทหาร ตำรวจ และพลเรือน มี พลเอกสนธิ บุญยรัตกลิน ผู้บัญชาการทหารบกในขณะนั้น เป็นหัวหน้า ได้เข้ายึดอำนาจการปกครองจากรัฐบาลพลเรือนที่มีพันตำรวจโท ทักษิณ ชินวัตร เป็นนายกรัฐมนตรี นับเป็นครั้งแรกที่มีการระบุสาเหตุการทำรัฐประหารว่า เป็นเพราะผู้นำรัฐบาลไม่มีคุณธรรม-จริยธรรม ซึ่งไม่เคยปรากฏเป็นเหตุผลในการรัฐประหารครั้งก่อนๆ

วังวนของการรัฐประหาร

ปีนี้ ครบรอบ 17 ปีการเกิดเหตุการณ์ดังกล่าวที่หลายคนเรียกว่าเป็นการถอดปลั๊กประเทศไทยจากสารบบของโลกประชาธิปไตย มองย้อนกลับไปจะเห็นได้ว่า ประเทศไทยได้ผ่านอะไรมามาก หลังรัฐประหารครั้งนั้น แม้จะมีรัฐบาลพลเรือนจากการเลือกตั้งขึ้นมาสลับบ้าง แต่ก็เป็นชั่วระยะเพียงสั้นๆ ได้แก่

  • รัฐบาลนายกฯสมัคร สุนทรเวช (29 ม.ค.2551 – 9 ก.ย.2551 รวม 223 วัน)
  • รัฐบาลนายกฯ สมชาย วงศ์สวัสดิ์ (มาจากการโหวตของสภาผู้แทนราษฎร ดำรงตำแหน่งเพียง 75 วัน ระหว่างวันที่ 18 ก.ย. 2551 – 2 ธ.ค. พ.ศ. 2551 เนื่องจากความไม่สงบทางการเมือง)
  • รัฐบาลนายกฯอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ (ดำรงตำแหน่ง 2 ปี 231 วัน ระหว่างวันที่ 17 ธ.ค. 2551 – 5 ส.ค. 2554)
  • และเมื่อมาถึงยุครัฐบาลนายกฯยิ่งลักษณ์ ชินวัตร (5 ส.ค. 2554 – 7 พ.ค. 2557) ไทยก็กลับสู่วังวนของการรัฐประหารอีกครั้ง (โดยคณะคสช.ในปี 2557) และกลับสู่การมีรัฐบาลปกครองประเทศภายใต้เงาของกองทัพ

รัฐประหาร 19 ก.ย. 2549

คณะรัฐประหารปี 2549 ภายใต้การนำของพลเอกสนธิ บุญยรัตกลิน ยึดอำนาจจากรัฐบาลรักษาการของทักษิณ ชินวัตร นายกรัฐมนตรีขณะนั้น ซึ่งอยู่ระหว่างการเดินทางไปยังสหรัฐอเมริกาเพื่อร่วมการประชุมขององค์การสหประชาชาติ หลังจากเกิดเหตุการณ์ประชาชนจำนวนมากออกมาประท้วงขับไล่นายกฯทักษิณ ออกจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรีอย่างต่อเนื่องและยาวนาน ทั้งนี้ มีการออกสมุดปกขาว ชี้แจงสาเหตุของรัฐประหารยึดอำนาจ โดยมีสาระสำคัญ ได้แก่ การทุจริตผลประโยชน์ทับซ้อน การใช้อำนาจในทางมิชอบ การละเมิดจริยธรรมคุณธรรมของผู้นำประเทศ การแทรกแซงระบบการตรวจสอบทางการเมืองตามรัฐธรรมนูญ ข้อผิดพลาดเชิงนโยบายที่นำไปสู่การละเมิดสิทธิเสรีภาพ และการบ่อนทำลายความสามัคคีของคนในชาติ

หลังการรัฐประหาร คณะคปค. ได้ยกเลิกการเลือกตั้งซึ่งกำหนดจัดในเดือนตุลาคมปีนั้น และยังยกเลิกรัฐธรรมนูญ (นับเป็นการฉีกรัฐธรรมนูญปี 2540 ซึ่งได้ชื่อว่าเป็นรัฐธรรมนูญที่มาจากการมีส่วนร่วมของประชาชนทุกภาคส่วนและมีความเป็นประชาธิปไตยมากที่สุด) สั่งยุบรัฐสภา สั่งห้ามการประท้วงและกิจกรรมทางการเมือง ยับยั้งและตรวจพิจารณาสื่อ ประกาศใช้กฎอัยการศึก และจับกุมสมาชิกคณะรัฐมนตรีหลายคน

คปค. บริหารประเทศตั้งแต่คืนวันที่ 19 กันยายน 2549 จนถึงวันที่ 1 ตุลาคม 2549 ซึ่งมีการประกาศใช้รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (ฉบับชั่วคราว) พุทธศักราช 2549 จากนั้นก็แปรสภาพเป็น “คณะมนตรีความมั่นคงแห่งชาติ” หรือ คมช. (Council of National Security :CNS) มีการจัดตั้งรัฐบาลชั่วคราว โดยมีพระบรมราชโองการโปรดเกล้า ฯ ให้แต่งตั้งพลเอก สุรยุทธ์ จุลานนท์เป็นนายกรัฐมนตรีในวันที่ 1 ตุลาคม พ.ศ. 2549

ถึงแม้รัฐประหารครั้งนั้น จะไม่มีการเสียเลือดเนื้อและไม่มีรายงานผู้ได้รับบาดเจ็บ แต่ปฏิกิริยาตอบรับจากนานาชาติก็เป็นไปในเชิงลบ มีเพียงบางประเทศที่แสดงความเป็นกลาง เช่น จีน ขณะที่สหรัฐอเมริกา ซึ่งถือว่าประเทศไทยเป็นพันธมิตรนอกองค์การนาโต ระบุว่า การทำรัฐประหาร "ไม่มีเหตุผลที่จะยอมรับได้"

การเริ่มต้นใหม่ของประชาธิปไตย 

17 ปีผ่านไป ทักษิณ ชินวัตร กลับมารับโทษแล้วหลังจากหนีคดีอยู่ในต่างแดนนานกว่าทศวรรษ และไทยก็ได้กลับมามีรัฐบาลพลเรือนจากการเลือกตั้งตามระบอบประชาธิปไตยอีกครั้ง แม้จะไม่ใสสะอาดไร้คราบเงาของกองทัพเสียทีเดียวหากจะยึดกับนิยามที่ว่า “พรรคสองลุง” ซึ่งหมายถึงพรรคพลังประชารัฐ และพรรครวมไทยสร้างชาติ เป็นพรรคการเมืองที่ก่อตั้งขึ้นมาภายใต้ร่มเงาของนายทหารในกองทัพ ได้เข้ามาเป็นพรรคร่วมรัฐบาลด้วย กรณีดังกล่าวทำให้พรรคเพื่อไทย ที่เป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาล ต้องสะบั้นสัมพันธ์กับพรรคก้าวไกลและพรรคไทยสร้างชาติ ที่เคยจับมือเป็นพันธมิตรเซ็น MOU กันในช่วงระยะสั้นๆ เพราะสองฝ่ายหลังยืนยันไม่ร่วมทำงานกับพรรคพลังประชารัฐและพรรครวมไทยสร้างชาติที่ได้ชื่อว่าเป็นพรรคทหาร

คุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ หัวหน้าพรรคไทยสร้างไทย ผู้ซึ่งอยู่ร่วมเหตุการณ์กล่าวถึงรัฐประหาร 19 กันยายน 2549 ว่า การรัฐประหาร พ.ศ. 2549 ได้ก่อให้เกิดบาดแผลต่อประชาชนชาวไทยและต่อประเทศชาติมากมาย มีการสร้างวาทะกรรมทำให้เกิดการเกลียดชัง และประชาชนแตกแยกออกเป็นฝ่ายเสื้อเหลือง เสื้อแดง จนเกิดการต่อสู้ มีการปราบปราม ทั้งเสื้อเหลืองเสื้อแดงบาดเจ็บล้มตายและสูญสิ้นอิสรภาพจำนวนมาก นั่นยังไม่นับรวม ความสูญเสียทางเศรษฐกิจที่ไทยต้องสูญเสียความสามารถในการแข่งขันทุกด้าน จากที่เคยเป็นผู้นำอาเซียนก็กลายเป็น “คนป่วยแห่งอาเซียน” รั้งลำดับท้ายในอาเซียนแทบจะทุกด้าน

“17 ปีที่หายไปประเทศไทยและคนไทย สูญเสียโอกาสและอนาคตไปมากมาย แต่บัดนี้คู่ขัดแย้งได้กลับมาจับมือปรองดอง จัดตั้งรัฐบาลร่วมกันแล้ว ซึ่งอาจมีทั้งคนเห็นด้วย และไม่เห็นด้วยกล่าวหาว่าตระบัดสัตย์ก็ตาม แต่ก็เป็นเวลาที่ผู้ที่ได้อำนาจจากความสูญเสียของประชาชนตลอด 17 ปี จะต้องพิสูจน์ตัวเองว่า ทำเพื่อประชาชนอย่างที่ได้พร่ำบอก หรือเป็นการทำเพื่อพวกพ้อง เพื่อผลประโยชน์ของนักการเมืองพวกพ้องตนเอง รวมทั้งขุนศึกและนายทุน ที่ร่วมมือกันจนได้อำนาจมาในปัจจุบันเท่านั้น” เป็นเสียงสะท้อนที่ทิ้งไว้ให้ได้คิด และคงจะเหมือนกับอีกหลายล้านคำในใจของหลายๆคนเช่นกัน

ขอบคุณข้อมูลจาก สถาบันพระปกเกล้า /วิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี