หนึ่งในนโยบายหาเสียงของพรรคการเมือง เพื่อหวังชัยชนะในการเลือกตั้ง 2566 ที่กำลังจะเกิดขึ้นในวันที่ 14 พฤษภาคม 2566 คือ การเปิดโอกาสให้ผู้เก็บออมเงินเพื่อการเกษียณอายุ สามารถที่จะนำเงินบาท ส่วนออกมาใช้จ่ายบรรเทาภาระค่าครองชีพได้ ไม่ว่าจะเป็นเงินจากสำนักงานกองทุนประกันสังคม (สปส.) หรือ เงินจากกองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการ (กบข.)
ดร.พิสิฐ ลี้อาธรรม ประธานคณะกรรมการนโยบาย พรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.)เปิดเผยว่า นโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจของพรรคภายใต้เงิน 1 ล้านล้านบาท ซึ่งหนึ่งในนั้นคือมาตรการเข้าไปช่วยเหลือชนชั้นกลางด้วยการปลดล็อคให้สมาชิกของกบข. และกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ สามารถนำเงินกองทุนไม่เกิน 30% ไปซื้อบ้าน ผ่อนบ้าน หรือลดภาระหนี้ที่อยู่อาศัยได้ โดยมีวงเงินรวมกันประมาณ 3 แสนล้านบาท
ทั้งนี้ก้อนแรก 1 แสนล้านบาทมาจากการปลดล็อกเงินกบข. เพราะจากการสำรวจข้อมูลพบว่า มีข้าราชการที่เป็นสมาชิกกบข. กว่า 1.2 ล้านคน มีเงินเก็บที่อยู่ภายใต้กองทุนเกือบ 5 แสนล้านบาท แต่ไม่สามารถนำเงินมาใช้ได้ก่อนเกษียณอายุ โดยเฉพาะการซื้อบ้าน ซึ่งเป็นสิ่งที่มีความจำเป็นต่อการใช้ชีวิต ดังนั้นพรรคจึงเสนอให้ปลดล็อกให้ข้าราชการนำเงินกองทุน กบข. 30% มาใช้ซื้อบ้าน ผ่อนบ้าน และลดหนี้บ้านได้
ส่วนอีกก้อน 2 แสนล้านบาทมาจากกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ ซึ่งเป็นเงินของภาคเอกชน ปัจจุบันมีข้อมูลลูกจ้างในระบบกว่า 3 ล้านคนที่เป็นสมาชิกในกองทุน มีเงินรวมประมาณ 1.4 ล้านล้านบาท ที่ผ่านมาเงินกองทุนนี้ถูกล็อกไว้ในลักษณะเดียวกับกบข. ให้ลงทุนได้เฉพาะตราสารหนี้ในตลาดเงินตลาดทุน ซึ่งช่วงที่ผ่านมาสมาชิกได้รับความเสียหายจากการนำเงินกองทุนไปลงทุนแล้วขาดทุนจำนวนมาก
ด้วยเหตุนี้ปชป.จึงมีนโยบายที่จะปลดล็อกให้สมาชิกที่เป็นพนักงานบริษัทสามารถนำเงินจากกองทุนในสัดส่วน 30% ใช้ซื้อบ้าน ผ่อนบ้าน และลดหนี้บ้านเหมือนกับกลุ่มข้าราชการ คาดว่าจะมีเงินที่ดึงออกมาจากกองทุนเพื่อดำเนินการในเรื่องนี้ได้ถึง 4 แสนล้านบาท แต่ในเบื้องต้นมองเอาไว้แค่ครึ่งเดียวก่อนคือ 2 แสนล้านบาท
“เงินทั้งสองกองทุนนี้กว่า 3 แสนล้านบาท ไม่ได้ไปใช้งบประมาณหรือเงินกู้เลย แต่เป็นการปลดล็อกให้คนทั้งสองกลุ่มมีความคล่องตัวแล้วเศรษฐกิจจะสามารถขับเคลื่อนไปได้ จากการซื้อบ้าน ขายบ้าน คนสร้างบ้านก็ได้เงินช่างก่อสร้าง ช่างปูน ช่างทาสีก็มีงานทำ คนขายวัสดุก่อสร้างก็ขายของได้ วิธีนี้จะช่วยเพิ่มคุณภาพชีวิตให้กับคนไทยได้มาก”ดร.พิสิฐกล่าว
น.ส.ศิริกัญญา ตันสกุล รองหัวหน้าพรรคก้าวไกลและหัวหน้าทีมเศรษฐกิจกล่าวว่า นโยบายสำคัญของพรรคเน้นการสร้างเศรษฐกิจที่เติบโตอย่างเป็นธรรมและยกเครื่องภาครัฐของไทยให้มีความสามารถมากขึ้น โดยเฉพาะสวัสดิการตั้งแต่เกิดจนตายใช้เงิน 6.5 แสนล้านบาท เช่น ของขวัญแรกเกิด 3,000 บาท เงินเด็กเล็กเดือนละ 1,200 บาท เรียนฟรี ค่าแรงขั้นตํ่าปรับขึ้นทุกปี เริ่มต้นวันละ 450 บาท ประกันสังคมถ้วนหน้า เงินผู้สูงวัยและคนพิการเดือนละ 3,000 บาท
สำหรับเรื่องสำคัญในการดูแลสวัสดิการภายใต้กองทุนประกันสังคม (สปส.) พรรคมีนโยบายประกันสังคมถ้วนหน้า โดยนำประชาชนวัยแรงงานทุกคนที่ยังไม่ได้เข้าระบบประกันสังคม(แรงงานนอกระบบ)เข้ามาสู่ระบบประกันสังคมถ้วนหน้า ด้วยการสมทบวันละ 1 บาท โดยจะได้รับสิทธิประโยชน์เพิ่มเติมจากการเพิ่มงบประมาณจากการสมทบของภาครัฐ
ทั้งนี้สิทธิประโยชน์จากกองทุน หากจำเป็นต้องลาพบแพทย์ได้รับค่าชดเชยรายได้ 200 บาทต่อวันและได้ค่าเดินทางพบแพทย์ 100 บาทต่อวัน กรณีลาคลอด ได้รับเงินชดเชยรายได้ 5,000 บาทต่อเดือน เป็นเวลา 6 เดือน หรือหากจำเป็นต้องหยุดงาน (เช่น หยุดตามประกาศของรัฐบาล) ได้รับเงินชดเชยรายได้ 200 บาทต่อวัน ไม่เกิน 25 วันต่อปี หากเสียชีวิต ได้รับค่าฌาปนกิจสงเคราะห์ 10,000 บาท พร้อมทั้งยกเว้นเงินสมทบเข้ากองทุนประกันสังคมสำหรับประชาชนที่ไม่มีรายได้หรือมีรายได้ตํ่ากว่าเกณฑ์ โดยรัฐจะสมทบฝ่ายเดียว
ด้านนายสุชาติ ชมกลิ่น กรรมการกำหนดแนวทางและยุทธศาสตร์ พรรครวมไทยสร้างชาติ (รทสช.)และรัฐมนตรีแรงงานในรัฐบาลพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชากล่าวว่า รัฐบาลมีแนวคิดให้นำเงินผู้ประกันตนที่สะสมบำนาญชราภาพในระบบประกันสังคมเอาไปใช้ก่อนได้ 30% ของเงินกองทุนประกันสังคมที่มี 2.28 ล้านล้านบาท ด้วยการผลักดันร่างพ.ร.บ.ประกันสังคม (ฉบับที่....) พ.ศ.... ซึ่งผ่านความเห็นชอบของคณะรัฐมนตรี(ครม.)เมื่อ 10 พฤษภาคม 2565 ปัจจุบันอยู่ในขั้นตอนส่งให้กฤษฎีกาพิจารณา ดังนั้นจึงเป็นหนึ่งในนโยบายที่จะผลักดันต่อไป
ทั้งนี้การเปิดทางให้นำเงินไปใช้ก่อน 30% ภายใต้ “สามขอ” คือ “ขอเลือก” สำหรับผู้ประกันตนที่ส่งเงินสมทบครบ 180 เดือน ให้เลือกได้ว่าจะรับเป็นเงินบำเหน็จหรือบำนาญ จากเดิมให้สิทธิเป็นบำนาญอย่างเดียว เพื่อให้ผู้ประกันตนมีเงินก้อนสำหรับลงทุนต่อ สำหรับคนรับบำนาญหลังอายุครบ 55 ปี แล้วเสียชีวิตในปีเดียว จะให้ทายาทรับต่อไปได้อีก 4 ปี
“ขอกู้” โดยใช้เงินชราภาพที่ส่งสมทบมาจนถึงขณะนั้น ไปเป็นหลักประกันในการกู้ยืม กับสถาบันการเงิน ในอัตราดอกเบี้ยตํ่ากว่าการกู้เงินนอกระบบ ซึ่งต้องออกกฎหมายลูกตามมาอีก 15 ฉบับ และ 3. “ขอคืน” ช่องให้สามารถขอคืนเงินบางส่วน หรือไม่เกิน 30% ของเงินชราภาพที่สะสมขณะนั้น ตัวอย่างเช่น มีเงินชราภาพส่งสะสมไว้ 1 แสนบาท ยอดนี้แบ่งเป็นของผู้ประกันตนส่ง 4 หมื่นบาท นายจ้างสมทบ 4 หมื่นบาท รัฐสมทบ 2 หมื่นบาท ผู้ประกันตนสามารถขอคืนในส่วนที่ตนสมทบ คือ 4 หมื่นบาท
ทั้งนี้มั่นใจว่า ไม่กระทบความมั่นคงของกองทุนฯ ซึ่งที่ผ่านมามีคนเกษียณ รับบำนาญเพียงประมาณปีละ 4 แสนคน ซึ่งเงินสมทบที่เก็บจากลูกจ้าง นายจ้างฝ่ายละ 5% กันไว้สำหรับชราภาพฝ่ายละ 3 % รวมเป็น 6 % ตอนนี้มีการใช้จริงเพียง 1% แต่ในอนาคตอาจจะสูงขึ้นเรื่อยๆ เพราะคนรับบำนาญสูงขึ้น ดังนั้น ในระยะสั้นถือว่าไม่กระทบ เพราะยังมีเงินพอให้คนมาใช้สิทธิ
ส่วนระยะยาวไม่กระทบกองทุน เพราะมีการออกแบบว่า คนที่ใช้สิทธิ อยากใช้สิทธิขอคืนเงินชราภาพบางส่วน เขาต้องรับผิดชอบในส่วนที่เหลือ เช่น เอาออก 3 หมื่นบาท ตอนอายุ 33 ปี พออายุ 55 ถึงเกณฑ์รับเงินฯ ก็ต้องหักส่วนนี้ออก พร้อมกับค่าเสียโอกาสในการลงทุน เช่น 3%
“ระยะสั้นไม่กระทบความมั่นคงของกองทุนแน่นอน แต่ในระยะยาวมีการตั้งข้อสังเกตว่า จะกระทบกับสิทธิผู้ประกันตนรายอื่น เพราะส่งผลให้เงินลงทุนลดลง 3-4 % จะได้ดอกผลลดลงด้วย ถือเป็นการเสียโอกาสของผู้อื่น ดังนั้นจึงมีแนวคิดให้ผู้ใช้สิทธิ 3 ขอ ต้องจ่ายค่าเสียโอกาสให้กับผู้ประกันตนคนอื่น โดยหัก ณ ที่จ่าย อัตรา 3-4%” นายสุชาติกล่าว
ดร.ยงยุทธ แฉล้มวงษ์ ผู้อำนวยการวิจัย ด้านการพัฒนาแรงงาน สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (ทีดีอาร์ไอ) กล่าวว่า การที่หลายพรรคการเมืองมีนโยบายเกี่ยวข้องกับผู้ใช้แรงงาน และการใช้กลไกของกองทุนประกันสังคมเข้าไปดำเนินการตามนโยบายต่าง ๆ นั้น ส่วนตัวมองว่า การจะทำอะไรเกี่ยวกับเงินกองทุนประกันสังคม ก็ต้องไปถามทางคณะกรรมการประกันสังคมก่อนว่าด้วยว่า ทำได้หรือไม่ หรือสามารถนำเงินกองทุนอะไรได้บ้าง แม้ว่าปัจจุบันเงินของกองทุนจะมีจำนวนมากแต่ก็มีภารกิจที่กำหนดเอาไว้ตายตัวแล้ว ดังนั้นหากจะทำอะไรเกี่ยวกับเงินกองทุนก็ต้องดูให้ดี
แหล่งข่าวจากกระทรวงการคลังกล่าวถึงกรณีที่พรรคการเมืองมีการหาเสียงเกี่ยวกับนโยบายปลดล็อคให้สมาชิกของกบข.และกองทุนสำรองเลี้ยงชีพไปซื้อบ้าน ผ่อนบ้าน หรือลดภาระหนี้ที่อยู่อาศัยได้นั้น ตามกฎหมายของกบข. วางโครงสร้างให้สามารถทำได้อยู่แล้ว ซึ่งแตกต่างจากกฎหมายของประกันสังคมที่ห้ามทำ โดยมีการระบุไว้อย่างชัดเจน ซึ่งหากทำได้ จะมีประโยชน์ต่อสมาชิกที่ต้องการมีที่อยู่อาศัย
อย่างไรก็ตาม การดำเนินการดังกล่าวต้องกำหนดให้ชัดเจนว่า เป็นการนำเงินออกไปใช้เพื่ออะไร เพราะหากนำไปใช้สำหรับการบริโภค และจะต้องกำหนดว่า ไม่ให้กู้จนหมดเท่าวงเงินที่มีเก็บสะสมอยู่ เพราะจะทำให้เสียวินัย หากกู้เพื่อสินเชื่อบ้าน หรือเพื่อคนที่มีปัญหาหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (NPL) แล้วนำเงินจากกองทุนเข้าไปแก้ปัญหาส่วนนั้นเฉพาะบางจำนวน ส่วนตัวมองว่ามีความเหมาะสม
“คนที่เป็นหนี้เสียไปแล้ว หากถูกฟ้องจะต้องลาออกจากข้าราชการ แต่หากช่วยให้เขาสามารถกู้เงินของตัวเอง แล้วเอาไปชำระหนี้ส่วนนี้ได้ก็จะทำให้ไม่ต้องออกจากงานราชการ และหากออกจากราชการอายุงานไม่ถึง 25 ปี จะเป็นปัญหาเชิงสังคม ซึ่งกฎหมายของกบข. อนุญาตให้ทำได้ ฉะนั้น ในแง่ของหลักการนั้นไม่ผิดเกี่ยวกับการออมระยะยาว เพราะกบข.เป็นหลักที่ให้กู้ได้อยู่แล้ว แต่กู้ในจำนวนเท่าไหร่ ต้องทำในจำนวนที่เหมาะสม”แหล่งข่าวกล่าว
ทั้งนี้ แม้ว่าสมาชิกกบข. จะมีการกู้เงินที่ตัวเองสะสมออกมาแล้ว แต่ตอนเกษียณข้าราชการยังมีบำนาญ ซึ่งเป็นเงินอีกก้อนหนึ่งที่จ่ายโดยรัฐบาล ซึ่งแตกต่างจากระบบประกันสังคม และหากนำวงเงินออกมาบางส่วนก็ยังมีส่วนที่เหลือที่ต้องสะสม ไปกระทั่งเกษียณอายุ ฉะนั้น จึงมองว่าแนวทางดังกล่าวหากมีการบริหารจัดการให้ดีก็จะเป็นประโยชน์กับสมาชิกของกองทุน
หน้า 13 หนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ปีที่ 43 ฉบับที่ 3,879 วันที่ 16 - 19 เมษายน พ.ศ. 2566