ศาลปกครองกลางสั่งเพิกถอนประกาศ กทม. เรื่องค่าโดยสารรถไฟฟ้าสายสีเขียว 

12 เม.ย. 2566 | 11:49 น.

ศาลปกครองกลางพิพากษาเพิกถอนประกาศ กทม. เรื่องค่าโดยสารโครงการรถไฟฟ้าสายสีเขียว ชี้แม้กทม.มีอำนาจกำหนดค่าโดยสารแต่ต้องปฏิบัติตามมติครม. ที่ให้ร่วมกับคมนาคม กำหนดอัตราที่เหมาะสมไม่สร้างภาระประชาชน เรื่องหนี้สินเป็นหน้าที่รัฐ-กทม.ต้องร่วมแก้ไข

วันนี้ (12 เม.ย.66) ศาลปกครองกลางมีคำพิพากษาเพิกถอนประกาศกรุงเทพมหานคร (กทม.) ลงวันที่ 15 ม.ค.25 64 เรื่องการกำหนดค่าโดยสารโครงการรถไฟฟ้าสายสีเขียว โดยให้มีผลย้อนหลังไปตั้งแต่วันที่ออกประกาศดังกล่าว

คดีดังกล่าวสืบเนื่องจาก นายสิริพงษ์ อังคสกุลเกียรติ ส.ส.พรรคภูมิใจไทยและพวกรวม 6 คน ยื่นฟ้อง กรุงเทพมหานคร (กทม.) และ ผู้ว่าฯ กทม. เป็นผู้ถูกฟ้องที่ 1 และ 2 ขอให้ศาลฯ มีคำพิพากษาเพิกถอน หรือ ยกเลิกประกาศเรื่อง การกำหนดค่าโดยสารโครงการรถไฟฟ้าสายสีเขียว ลงวันที่ 15 ม.ค.2564 และให้สั่งระงับการดำเนินการใดๆ ตามประกาศฯ คือ การปรับขึ้นค่าโดยสารไว้เป็นการชั่วคราวจนกว่าศาลจะมีคำสั่งหรือคำพิพากษาถึงที่สุด

ส่วนเหตุผลที่ศาลปกครองกลางมีคำพิพากษาดังกล่าวระบุว่า แม้รัฐธรรมนูญจะบัญญัติรับรองให้ กทม. ซึ่งเป็นราชการบริหารส่วนท้องถิ่น มีความเป็นอิสระ แต่การใช้อำนาจบริหารราชการ และการจัดทำบริการสาธารณะของกทม. โดยผู้ว่าฯ กทม. ก็ยังต้องเป็นไปตามที่กฎหมายบัญญัติ ภายใต้การกำกับดูแลของรัฐบาล ตามหลักการกระจายอำนาจทางปกครองของรัฐ

ดังนั้น การจัดเก็บค่าโดยสารโครงการรถไฟฟ้าสายสีเขียว ซึ่งแม้จะอยู่ในความรับผิดชอบของ กทม. และเป็นอำนาจของผู้ว่าฯ กทม. ที่สามารถกระทำได้ ก็ตาม แต่เมื่อปรากฏว่า การดำเนินโครงการดังกล่าวมิได้จำกัดอยู่เฉพาะพื้นที่ในกทม.เท่านั้น แต่ยังครอบคลุมไปถึงพื้นที่เขตปริมณฑล และเป็นโครงการที่รัฐบาลกำหนดไว้ในแผนแม่บทระบบขนส่งมวลชนทางรางใน กทม. และ ปริมณฑล 

นอกจากนี้ ยังมีโครงการระบบขนส่งมวลชนโดยรถไฟฟ้าสายอื่นๆ อันเป็นบริการสาธารณะ ที่รัฐจัดทำขึ้นโดยมีวัตถุประสงค์บรรเทาปัญหาการจราจร และเพิ่มทางเลือกในการเดินทาง ที่มีประสิทธิภาพให้กับประชาชน ลดปริมาณการใช้รถยนต์ส่วนบุคคล ซึ่งเป็นสาเหตุสำคัญให้การจราจรติดขัด

ดังนั้น เพื่อให้การจัดทำบริการสาธารณะด้านขนส่งมวลชนของรัฐ เกิดการบูรณาการทางด้านการเดินรถให้เป็นไปอย่างต่อเนื่อง เพื่ออำนวยความสะดวกให้กับประชาชนผู้ใช้บริการในการเดินทาง การกำหนดอัตราค่าโดยสารที่เหมาะสม เป็นธรรม ของโครงการรถไฟฟ้าสายต่างๆ 

การจัดเก็บค่าโดยสารโครงการรถไฟฟ้าสายสีเขียว ของ กทม. จึงต้องพิจารณาโดยภาพรวม ให้สอดคล้องกับนโยบายของรัฐบาล ทั้งนี้ เพื่อประโยชน์สูงสุดแก่ประชาชนผู้ใช้บริการ 

ดังนั้น กทม.จึงมีหน้าที่ต้องปฏิบัติให้เป็นไปตาม มติ ครม. วันที่ 26 พ.ย.2561 คือ ต้องบูรณาการร่วม กับ กระทรวงคมนาคม ในการกำหนดอัตราค่าโดยสารที่เหมาะสม เป็นธรรม ไม่ก่อให้เกิดภาระต่อประชาชนผู้ใช้บริการมากเกินไป ทั้งต้องดำเนินการให้สอดคล้องกับนโยบายของรัฐบาล ตามความเห็นกระทรวงการคลัง รวมทั้งพิจารณากำหนดค่าโดยสารให้เหมาะสม สอดคล้องกับค่าครองชีพของผู้ใช้บริการด้วย 

เมื่อข้อเท็จจริงในสำนวนคดี ไม่ปรากฏว่า ก่อนการดำเนินการออกประกาศเพื่อกำหนดอัตราค่าโดยสารโครงการรถไฟฟ้าสายสีเขียว กทม. โดยผู้ว่าฯ กทม.ได้ดำเนินการร่วมกับกระทรวงการคลัง ในการพิจารณากำหนดอัตราค่าโดยสารตามที่ ครม. มอบหมาย กรณีจึงเป็นการกระทำโดยไม่ถูก ต้องตามขั้นตอน หรือวิธีการ อันเป็นสาระสำคัญที่กำหนดไว้ อันเป็นการกระทำที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย

ส่วนที่ กทม.อ้างว่า ได้ปฏิบัติตามมติครม.วันที่ 26 พ.ย.2561 แล้วเห็นว่าข้อเท็จจริงตามคำให้การของ กทม. และ ผู้ว่าฯ กทม. เป็นกรณีการตั้งคณะกรรมการกำกับดูแลและติดตามผลการดำเนินงาน ที่มี รมช.คมนาคม เป็นประธานคณะกรรมการ เพื่อทำการศึกษาบูรณาการเกี่ยวกับการรับโอน และบริหารจัดการโครงการรถไฟฟ้าสายสีเขียว โดยไม่ปรากฏว่า กทม. ได้ร่วมกับกระทรวงคมนาคม พิจารณากำหนดอัตราค่าโดยสาร ตามที่ครม.มอบหมายแต่อย่างใด ข้ออ้างดังกล่าวจึงฟังไม่ขึ้น

ส่วนที่ระหว่างการพิจารณาคดี กทม.ได้ออกประกาศลงวันที่ 8 ก.พ.2564 ให้เลื่อนการจัดเก็บค่าโดยสารโครงการรถไฟฟ้าสายสีเขียวออกไปก่อน และปัจจุบันยังไม่มีการจัดเก็บค่าโดยสารตามประกาศพิพาทก็ตาม แต่กรณีก็ย่อมจะเห็นได้ว่า ประกาศกรุงเทพมหานคร ฉบับลงวันที่ 8 ก.พ.2564 ดังกล่าว ไม่ได้มีผลเป็นการยกเลิก หรือ เพิกถอนประกาศที่พิพาท ซึ่งเป็นเหตุแห่งความเดือดร้อนหรือเสียหาย อันเป็นเหตุแห่งคดีพิพาท จึงยังไม่หมดสิ้นไป การแก้ไข หรือ บรรเทาความเดือดร้อนเสียหาย จึงต้องมีคำบังคับของศาล

ส่วนที่กทม.อ้างว่า การบริหารจัดการโครงการรถไฟฟ้าสายสีเขียวนั้น กทม.มีภาระหนี้สินจำนวนมากที่ค้างจ่ายกับเอกชน อีกทั้งไม่ได้รับการจัดสรรงบประมาณจากรัฐบาล หากไม่ได้รับการแก้ไขย่อมส่งผลกระทบต่อการจัดบริการสาธารณะด้านขนส่งมวลชน โครงการรถไฟฟ้าสายสีเขียวต้องหยุดชะงัก จึงจำเป็นต้องออกประกาศเพื่อเรียกเก็บค่าโดยสารจากผู้ใช้บริการนั้น

เห็นว่า แม้ กทม. จะมีอำนาจตามกฎหมายในการเรียกเก็บค่าบริการสำหรับการให้บริการระบบขนส่งมวลชนสาธารณะ ในส่วนของที่ กทม. รับผิดชอบได้ แต่เมื่อครม.มีมติมอบหมายให้ กทม. ต้องบูรณาการร่วมกับกระทรวงคมนาคม เพื่อกำหนดอัตราค่าโดยสารที่เหมาะสม เป็นธรรม ไม่ก่อให้เกิดภาระต่อประชาชนผู้ใช้บริการเกินสมควร เร่งรัด และ พิจารณาการใช้ระบบตั๋วร่วมให้สอดคล้องกับนโยบายรัฐบาล 

ดังนั้น การดำเนินโครงการรถไฟสีเขียวเฉพาะในส่วนนี้ จึงต้องปฏิบัติให้เป็นไปตามมติคณะรัฐมนตรี ภาระหนี้สินจำนวนมากที่อ้างนั้น อาจเกิดจากหลายปัจจัยที่เกี่ยวเนื่อง หรือ เชื่อมโยงกัน เช่น การบริหารสัญญาสัมปทานโครงการรถไฟฟ้าสายสีเขียวส่วนหลัก การเจรจาต่ออายุสัมปทาน การแบ่งปันผลประโยชน์ระหว่างรัฐกับเอกชนผู้รับสัมปทาน การจัดทำร่างสัญญาสัมปทานฉบับแก้ไข ก็เป็นเรื่องที่รัฐบาล และ กทม. ต้องพิจารณาแก้ไขร่วมกันต่อไป

โดยปฏิบัติให้เป็นไปตามกฎหมายว่าด้วยการร่วมลงทุนระหว่างรัฐและเอกชน และกฎหมายอื่นที่เกี่ยวข้อง เพื่อประโยชน์สูงสุดของรัฐ และประชาชนโดยคำนึงถึงหลักความได้สัดส่วนระหว่างประโยชน์สาธารณะ หรือ ประโยชน์ส่วนรวม ที่จะได้รับกับภาระ หรือ ผลกระทบ ที่จะเกิดกับเอกชน ประกอบกันด้วย