"วรภพ"เสนอกลาโหม นำเงินนอกงบประมาณ 1 หมื่นล้าน สร้างสวัสดิการประชาชาชน

23 ส.ค. 2565 | 04:59 น.

"วรภพ"ส.ส.ก้าวไกล เสนอกระทรวงกลาโหม นำเงินนอกงบประมาณกองทัพ 1 หมื่นล้านบาท สร้างสวัสดิการให้ประชาชาชน ระบุธุรกิจกองทัพพาณิชย์ที่ไร้การตรวจสอบ เข้ากระเป๋าใคร!

นายวรภพ วิริยะโรจน์ ส.ส.แบบบัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล โพสต์เฟสบุ๊ค ข้อความว่า


เปิดโปง!กองทัพพาณิชย์ เพื่อเสนอนำเงินนอกงบประมาณกองทัพ 1 หมื่นล้านบาท มาสร้างสวัสดิการประชาชาชน 


 
ทุกวันนี้กระทรวงกลาโหมมีเงินนอกงบประมาณ ประมาณ 1 หมื่นล้านบาท ถ้าเรียกให้ถูกต้องเรียกว่า  “เงินนอกของนอกงบประมาณ” เพราะไม่ใช่เงินที่อยู่ในงบการเงินของกระทรวงกลาโหมที่รายงานออกมานะครับ



แต่ที่ผมกำลังจะพูดต่อไปนี้คือ ธุรกิจกองทัพพาณิชย์ที่ไม่มีการรายงาน ไม่มีการตรวจสอบใดๆทั้งสิ้น ไม่ว่าจะเป็นบ่อน้ำมัน สนามกอล์ฟ โรงแรม สนามม้า สนามมวย ค่าเช่า สถานีวิทยุ ปั๊ม รายได้เหล่านี้ไม่มีการเปิดเผยนะครับ มีแต่คำอ้างว่าเอามาเป็นสวัสดิการกองทัพ



ซึ่งก็ควรจะตั้งคำถามได้แล้วนะครับว่านี่เป็นสวัสดิการของใคร? ของนายพล ขุนศึก ศักดินา หรือเปล่า? เพราะทำไมถึงไม่มีการเปิดเผย อย่าว่าแต่สภาเลยนะครับ สำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน(สตง.) ก็ตรวจสอบไม่ได้เพราะกองทัพอ้างมาตลอดว่ากองทัพตรวจสอบกันเอง ถ้าเป็นสวัสดิการจริงทำไมถึงตรวจสอบไม่ได้?
 

 

นายวรภพ วิริยะโรจน์ ส.ส.แบบบัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล

แล้วเงินนอกงบประมาณ ถ้าถามว่าเยอะแค่ไหน? ผมจะลองไล่ให้ดูทีละก้อนนะครับ

 

เริ่มจากบ่อน้ำมัน รัฐพยายามบอกว่าคนไทยต้องใช้น้ำมันแพงเพราะว่าเราไม่มีบ่อน้ำมัน แต่จริงๆมีครับเพียงแต่ว่าโชคร้ายหน่อยครับที่บ่อน้ำมันนั้นอยู่ภายใต้การดูแลของกองทัพ ทรัพยากรที่ควรจะเป็นรายได้ของประชาชนก็เลยกลายเป็นรายได้ของนายพล เพราะมีบ่อน้ำมันที่อำเภอฝาง จังหวัดเชียงใหม่

 

ซึ่งกระทรวงพลังงานก็มีข้อมูลมายืนยันชัดเจนว่าวันๆหนึ่งกองทัพขุดน้ำมันมากลั่นได้ถึง 540 บาร์เรลต่อวัน ซึ่งให้เข้าใจง่ายๆก็ประมาณ 86,000 ลิตรต่อวัน ต่อให้เราจะคิดว่าคุณภาพน้ำมันเป็นเกรดที่ไม่ค่อยดีซึ่งเป็นน้ำมันเตาซะเยอะ คิดคำนวณออกมาเป็นรายได้ 600 ล้านบาทต่อปี อย่างที่บอกนะครับว่า 600 ล้านบาทจริงๆควรจะเป็นทรัพยากรของประชาชนทุกคน แต่น่าเสียดายครับที่กลายเป็นรายได้ของนายพล

 

หรือแม้กระทั้งสนามกอล์ฟ 36 แห่ง อันนี้เฉพาะที่กองทัพบกเปิดเผยออกมานะครับ ยังไม่รวมกองทัพเรือ และกองทัพอากาศที่ไม่มีการเปิดเผยออกมาเลย แล้วการที่กองทัพบกเปิดเผยออกมา จริงๆเป็นเรื่องที่ดีนะครับ แต่ก็ต้องท้าวความว่าเพราะมีเหตุกราดยิงที่โคราชซึ่งก็เป็นจังหวะที่มีการเรียกร้องให้มีการปฏิรูปกองทัพ

 

ผบ.ทบ.ในขณะนั้นก็มาพูดกับกรรมาธิการงบประมาณ ซึ่งตอนนั้นผมก็เป็นกรรมาธิการงบอยู่ด้วยนะครับ พูดเสียงแข็งเลยนะครับว่า ขอเวลา 3 เดือนจะเปิดเผยว่าเงินงบประมาณพวกนี้มีเท่าไหร่บ้างแต่นี่รอมา 3 ปีแล้วครับยังไม่เห็นวี่แวว

 

ซึ่งสุดท้ายแล้วเป็นทางสื่อ The Matter ต้องใช้ พ.ร.บ.ข้อมูลข่าวสารฯ ถึงได้รู้ครับว่ากองทัพบกมีสนามกอล์ฟ 36 แห่ง ซึ่งผมก็ต้องตั้งคำถามว่านี่มัน กลาโหม หรือ กลุ่มทุนอสังหาฯนะครับ สนามกอล์ฟแต่ละที่ใจกลางเมืองทั้งนั้นนะครับ

 

แล้วก็ตั้งเป็นข้อสงสัยว่ารายได้ที่แจ้งนั้นจริงไหม? เพราะว่าเปิดเผยออกมา สนามกอล์ฟอย่างที่รามอินทรา 500 ไร่ แจ้งรายได้เพียง 150 ล้านบาทต่อปีนะครับ นี่คำนวณออกมากลายเป็นว่าสร้างรายได้3แสนบาทต่อไร่ ต่อปี นี่ขนาดที่ๆรามอินทราในเมืองนะครับ ดังนั้นมันน้อยมากเมื่อเทียบกับศักยภาพของมัน

 

ต่อมานะครับ กองทัพมีโรงแรม 5 แห่ง รายได้ 273 ล้านบาท/ปี สนามม้า 1 แห่ง รายได้ 94 ล้านบาท สนามมวย 1 แห่ง รายได้ 40 ล้านบาท  และแม้แต่ ปั๊มน้ำมันอีกจำนวนมากนะครับ เข้ากระเป๋าใครครับ

 

และยังไม่รวมถึงที่ดินราชพัสดุ ที่ดินราชพัสดุทั้งหมดประเทศไทยมี 12 ล้านไร่ กรมธนารักษ์ก็เปิดเผยมาว่า 50% อยู่ในการครอบครองของกองทัพประมาณ 6 ล้านไร่ ซึ่งก็ไม่รู้ว่าจะมีพื้นที่อะไรเยอะขนาดนั้น ถ้าวันนี้เราให้ชาวบ้านเช่าทำเกษตรไร่ละ 1,000 บาท นี่ก็คือ 5,000 ล้านบาทต่อปีนะครับที่จะเกิดขึ้นจากที่ดินกองทัพที่ไม่ถูกใช้ประโยชน์  
 

หรือแม้กระทั่งค่าเช่าครับ ประชาชนทุกวันนี้เป็นแสนๆรายที่เช่าที่กองทัพอยู่ซึ่งแน่นอนครับว่าก็ไม่มีการเปิดเผย ไม่มีการรายงานว่ารายได้ตรงนี้เข้ากระเป๋าใคร?  

นี่ยังไม่รวมสถานีวิทยุโทรทัศน์กองทัพบกนะครับ อันนี้ไม่เคยมีการเปิดเผยเลยครับ หรือ โทรทัศน์กองทัพบกที่วันนี้ผู้ถือหุ้นยังเป็นนายพลอยู่ทั้งๆที่ก็ใช้สินทรัพย์ราชการนะครับ



เลยกลายเป็นว่าแทนที่เงินนอกงบประมาณเหล่านี้และสินทรัพย์เหล่านี้ถ้าถูกเปิดเผยออกมา ถูกจัดการอย่างมีประสิทธิภาพจริงๆ สามารถกลายเป็นสวัสดิการประชาชนได้อย่างอีกน้อยๆ 10,000 ล้านบาท แล้วกลายเป็นว่ากองทัพเป็นหน่วยงานที่มีสิทธิพิเศษ เอาสินทรัพย์แผ่นดินมาสร้างรายได้ให้แก่เหล่านายพล ขุนศึก ศักดินา ไม่ให้เกิดการตรวจสอบได้เพียงหน่วยงานเดียว



และสุดท้ายที่ผมว่าเป็นประเด็นสำคัญนะครับ นี่คือเป็นการเบี่ยงเบนความสนใจของกองทัพให้ออกจากภารกิจหน้าที่ในการป้องกันประเทศ กลายเป็นว่ากองทัพวันๆ ก็หมกมุ่นอยู่กับแค่ปกป้อง คุ้มครองผลประโยชน์ของกองทัพพาณิชย์ของตัวเอง ทั้งๆที่ไม่ใช่หน้าที่ ไม่ใช่ความถนัด แต่เป็นขุมทรัพย์ของเหล่านายพล นี่คือการเสียโอกาสอย่างที่สุดของประเทศไทย