จับสัญญาณการเมือง นายกฯ "บิ๊กตู่" สื่ออะไร หลังออกแถลงการณ์ด่วน 3 ข้อ

09 ก.ค. 2565 | 00:40 น.

จับสัญญาณการเมือง นายกฯ "บิ๊กตู่" พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา หลังออกแถลงการณ์ด่วน ประกาศ แผนขับเคลื่อนกลยุทธ์ 3 แกนหลัก ไปดูเนื้อหาและข้อสรุปว่า นายกฯ สื่ออะไร ภายใต้สถานการณ์การเมืองอึมครึมในปัจจุบัน แนวโน้มประเทศไทยจะเดินต่อไปทางไหน ต้องติดตาม

“ผมขอบคุณทุกท่าน ที่ใจเย็นกับผม ให้ผมได้เอาแผนโครงการที่ยิ่งใหญ่ ผลักดันมาสู่การปฏิบัติจริง ผมไม่ใช่คนที่แสดงออกหรือนำเสนออะไรได้เก่งนัก แต่ผมรู้ว่า ผมจะต้องทำอย่างไรเพื่อให้เรื่องใหญ่ ๆ เกิดขึ้นจริงได้ บางครั้งผมอาจจะพูดอะไรที่ฟังดูตลก แต่ขอให้ทุกท่านรู้ว่า ผมบริสุทธิ์ใจ และหัวใจของผมอยู่กับประชาชนทุกคน และอยู่กับประเทศไทยครับ”

 

นี่เป็นหนึ่งในถ้อยแถลงการณ์ด่วนของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ซึ่งออกมาในช่วงบ่ายวานนี้ ท่ามกลางความร้อนระอุของชีพจรการเมืองไทย เหมือนเป็นการสื่ออะไรบางอย่างถึงทิศทาง และอนาคตการเมืองไทยภายใต้การบริหารงานของรัฐบาลประยุทธ์ 2/4

 

หลังการประชุมร่วมรัฐสภาพิจารณาร่างพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญ (พ.ร.ป.) ว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร และร่าง พ.ร.ป.ว่าด้วยพรรคการเมือง ในวาระ 2-3 เมื่อไม่กี่วันก่อน สภาโหวตสูตรคำนวณ ส.ส.ปาร์ตี้ลิสต์แบบหาร 500 ด้วยคะแนนด้วยคะแนนท่วมท้น

 

แถลงการณ์ด่วนของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม

 

โดยเนื้อหาของแถลงการณ์ ตอนหนึ่งนายกรัฐมนตรี ระบุถึงสถานการณ์เศรษฐกิจว่า ข้างหน้าของเรายังมีอีกหนึ่งภัยร้าย ที่ใหญ่ ยิ่งกว่า รอเราอยู่ นั่นคือ เราจะอยู่รอดอย่างไร จากการโหมกระหน่ำของพายุการขึ้นราคาทุกอย่าง ซึ่งสงครามรัสเซีย-ยูเครน เป็นส่วนสำคัญยิ่งที่กระตุ้นให้ข้าวของแพง ไม่ว่าจะเป็น ราคาน้ำมัน อาหาร ค่าขนส่ง จนถึงขั้น ทำให้บางประเทศในภูมิภาค เข้าใกล้การล่มสลายทางเศรษฐกิจ

ที่ผ่านมา หลายรัฐบาลที่เข้ามาบริหารประเทศในช่วงระยะสั้น ๆ ได้ดำเนินนโยบายระยะสั้น แก้ปัญหาความยากจนเฉพาะหน้า หรือมีโครงการลดแลกแจกแถมต่าง ๆ ซึ่งแน่นอนว่า บางโครงการเป็นสิ่งที่ควรทำ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในยามวิกฤต เพื่อช่วยบรรเทาความเดือดร้อนของประชาชน แต่โครงการแบบนั้น ไม่ใช่วิธีที่จะแก้ปัญหาความยากจนได้อย่างยั่งยืน และแน่นอนว่าวิธีการเหล่านั้น ไม่ทำให้ใครรวยขึ้นมาได้

 

“ผมตั้งใจเดินหน้าด้วยความมุ่งมั่น ที่จะทำเรื่องใหญ่ๆ ให้เกิดขึ้นให้ได้ เพื่อช่วยทุกคน ให้สามารถสร้างรายได้ ได้มากขึ้น อย่างยั่งยืน ผมขอให้ทุกท่านเดินหน้าไปกับผม ในช่วงเวลาที่ภารกิจระยะยาวเพื่อทุกคน ที่ผมได้ทำมาอย่างต่อเนื่อง ใกล้จะเสร็จสมบูรณ์แล้ว” นายกรัฐมนตรี ระบุ

 

“บิ๊กตู่” ออกแถลงการณ์ชวนคนไทย โชว์สปิริต-จิตวิญญาณ ร่วมสร้างอนาคตประเทศ

 

ก่อนจะฉายสูตรการขับเคลื่อนประเทศ โดยนายกฯ ประยุทธ์ ประกาศ แผนขับเคลื่อนกลยุทธ์ “3 แกนหลัก” หวังยกระดับความรุ่งเรืองของประเทศ ดังนี้ 

 

แกนที่ 1 : โครงสร้างพื้นฐานที่สำคัญของประเทศ 

 

สรุปได้ว่า ที่ผ่านมารัฐบาลพยายามดันโครงการสร้างทางรถไฟ ถนน สนามบิน และท่าเรือนานหลายปี ตอนนี้ใกล้จะเสร็จสมบูรณ์แล้ว ก่อนจะบอกว่า เป็นสิบๆ ปีที่ผ่านมา รัฐมักจะวางแผนโครงการที่สวยหรูมากมาย

 

แต่สุดท้าย แผนโครงการที่สวยหรูเหล่านั้นก็ถูกเก็บขึ้นหิ้ง จนฝุ่นเกาะ และไม่เคยถูกทำให้เกิดขึ้นจริง กลายเป็นว่า ประชาชนหลายสิบล้านคน ยังคงต้องใช้ชีวิตกันต่อไป โดยไม่ได้รับประโยชน์จากการมีโครงสร้างพื้นฐาน และการคมนาคมขนส่งที่ดีกว่า และถูกกว่า ที่ในที่สุดแล้ว จะช่วยเปิดโอกาสให้ประชาชน สร้างรายได้ ได้มากขึ้นด้วย

 

ดังนั้นจึงมีความมุ่งมั่นดันโครงการนับร้อยๆ เหล่านั้น เกิดขึ้นจริงให้ได้ 

แกนที่ 2 : ส่งเสริมอุตสาหกรรมเป้าหมาย

 

สรุปได้ว่า รัฐบาลกำลังพยายามส่งเสริมภาคอุตสาหกรรมเหมาย เช่น ภาคอุตสาหกรรมยานยนต์และอุตสาหกรรมต่อเนื่องเชื่อมต่อไปถึงธุรกิจขนาดใหญ่ และธุรกิจขนาดเล็ก ดึงเงินมหาศาลให้ไหลเข้าประเทศ โดยจะเร่งเดินหน้าให้เร็วกว่าประเทศอื่น ๆ ในภูมิภาค โดยเฉาะความพยายามทำทุกอย่างเพื่อให้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางที่สำคัญที่สุดแห่งหนึ่งของโลกในการผลิตยานยนต์ไฟฟ้า ซึ่งเป็นอุตสาหกรรมแห่งอนาคตที่สำคัญของโลก 

 

อีกส่วน คือ การส่งเสริมราคารถยนต์ไฟฟ้า และค่าใช้จ่ายในการใช้รถยนต์ไฟฟ้า ให้มีราคาถูกลง สำหรับคนไทยทุกคน โดยนายกฯ แย้มว่า พร้อมจะให้รายละเอียดเพิ่มเติม และความคืบหน้าเรื่องนี้อีกครั้งในช่วงเดือนหน้า

 

พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ออกแถลงการณ์ด่วน

 

แกนที่ 3 : การส่งเสริมเขาถึงแหล่งเงินทุน

 

สรุปได้ว่า นายกรัฐมนตรี แสดงความต้องการอย่างหนักแน่นกับธนาคารและสถาบันการเงินในประเทศไทย ว่าถึงเวลาต้องหันมาสนับสนุนส่งเสริมการเข้าถึงแหล่งเงินทุนของคนตัวเล็ก ธุรกิจรายย่อย โดยระบุว่า ธนาคารต้องหาทางเดินหน้าให้มากไปกว่าการใช้วิธีการหรือระบบแบบเดิม ๆ ที่มักจะปล่อยเงินกู้ให้แค่คนรวย ธุรกิจใหญ่ ๆ หรือคนที่มีเอกสารทางธุรกิจที่พร้อมเท่านั้น

 

นายกฯ สั่งการกลาย ๆ ว่า ถึงเวลาแล้วที่ ธนาคารจำเป็นที่จะต้องให้ความสำคัญกับลูกค้าที่เป็นคนตัวเล็ก ๆ และทำมาค้าขายเลี้ยงตัวเอง ให้มากยิ่งขึ้น เพราะคนกลุ่มนี้จะเป็นพลังที่สำคัญต่อความรุ่งเรืองทางเศรษฐกิจของประเทศ โดยขอให้เร่งส่งเสริม ซึ่งเทคโนโลยีสามารถช่วยให้ธนาคารต่าง ๆ ประเมินความสามารถในการคืนเงินกู้ ของผู้กู้ ที่เป็นคนตัวเล็ก ๆ ได้ง่ายขึ้น

 

อย่างไรก็ตาม นายกรัฐมนตรี สรุปเป้าหมายของแกนสำคัญทั้ง 3 ข้างต้นว่า หากทำได้ตามแผนจะเปิดโอกาสที่มากขึ้นในการสร้างความมั่งคั่งรุ่งเรืองให้กับประชาชนนับล้านๆ ในแบบที่กระจายไปทีเดียว ทั่วไปทั้งหมด และนั่นคือหนทางเดียว ที่ประเทศไทยจะสามารถเอาชนะปัญหาปากท้องการหาเลี้ยงตัวเอง ที่มาบั่นทอนอยู่เรื่อย ๆ เสมอ ๆ ได้

 

“นี่คือเรื่องที่ยิ่งใหญ่อย่างมาก ที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน และสอดคล้องกับยุคสมัยใหม่และอนาคต ภารกิจของผมคือ ทำให้สิ่งต่างๆ เหล่านี้ ให้เกิดขึ้นจริงให้ได้ ตอนนี้สิ่งต่างๆ เหล่านี้เกือบที่จะเสร็จแล้ว เราเดินมาได้ไกลแล้วครับ ตามกลยุทธ์ และตอนนี้ ใกล้ถึงเวลาที่เราจะเก็บเกี่ยวผลประโยชน์ได้แล้ว”

 

นายกฯ ยังเอ่ยคำพูดที่เต็มไปด้วยนัยทางการเมืองอีกว่า “ผมขอบคุณทุกท่าน ที่ใจเย็นกับผม ให้ผมได้เอาแผนโครงการที่ยิ่งใหญ่ ผลักดันมาสู่การปฏิบัติจริง ผมไม่ใช่คนที่แสดงออกหรือนำเสนออะไรได้เก่งนัก แต่ผมรู้ว่า ผมจะต้องทำอย่างไรเพื่อให้เรื่องใหญ่ๆ เกิดขึ้นจริงได้”

 

“บางครั้งผมอาจจะพูดอะไรที่ฟังดูตลก แต่ขอให้ทุกท่านรู้ว่า ผมบริสุทธิ์ใจ และหัวใจของผมอยู่กับประชาชนทุกคน และอยู่กับประเทศไทย”

 

พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ออกแถลงการณ์ด่วน

 

อีกยัง ขอเชิญชวนทุกคน ให้มาร่วมมือกันด้วย "สปิริต-จิตวิญญาณ" เหมือนที่เคยเกิดขึ้นเมื่อช่วงเกิดโควิด-19 ใหม่ ๆ พร้อมประกาศว่า จะขับเคลื่อนรัฐบาล ให้ทำโครงสร้างพื้นฐานที่ดีที่สุดให้สำเร็จ ช่วยทำภาคอุตสาหกรรมต่างๆ ให้แข็งแรง และช่วยภาคการธนาคารให้ทำงานอย่างสอดคล้องและตอบโจทย์ยุคสมัยใหม่ เพื่อให้ทุกคนมีโอกาสที่จะสร้างความมั่งคั่งให้กับตัวเองได้ 

 

“ผมเชื่อว่าเราทำได้ครับ และเราจะได้เห็นการผลิดอกออกผล ในเวลาไม่เกิน 2 ปีข้างหน้า ลงมือครับ เชื่อมไทยเดินหน้า” 

 

และนี่ก็คือประโยคทิ้งท้ายจากนายกฯ ภายใต้เมฆหมอกอึมครึมทางการเมืองที่กำลังก่อตัวขึ้นในปัจจุบัน ก่อนจะถึงศึกอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาลในอีกไม่กี่วันข้างหน้า