“พรรคสร้างอนาคตไทย”ห่วงสุขภาพประชาชนเสนอแนะ 4 มาตรการรับมือโควิด-19

07 ก.ค. 2565 | 06:00 น.

“พรรคสร้างอนาคตไทย”ห่วงใยต่อความเสี่ยงและสุขภาพของประชาชน ออกแถลงการณ์เสนอแนะหน่วยงานเกี่ยวข้อง 4 มาตรการรับมือโควิด-19 ควรปรับเปลี่ยนแนวทาง-มาตรการควบคุม ป้องกันโรค หรือใช้ยารักษาที่ประชาชนยอมรับ

วันนี้(7 ก.ค.65) พรรคสร้างอนาคตไทย ได้ออกแถลงการณ์เสนอแนะหน่วยงานเกี่ยวข้อง 4 มาตรการในการรับมือกับสถานการณ์โควิด-19 ที่กำลังแพร่ระบาดอยู่ในปัจจุบัน โดยระบุว่า

 

ด้วยสถานการณ์ของโควิด-19 ขณะนี้ ทั้งในประเทศไทยและทั่วโลก มีแนวโน้มพบผู้ติดเชื้อมากขึ้น หลังจากผ่อนคลายมาตรการต่าง ๆ ในการนี้กระทรวงสาธารณสุขได้แจ้งว่า ได้มีการติดตามและประเมินสถานการณ์อย่างต่อเนื่อง และเตรียมมาตรการเพื่อรองรับสถานการณ์ไว้แล้วเป็นอย่างดี 
 

รวมทั้งเชิญชวนให้ประชาชนมารับการฉีดวัคซีนเข็มกระตุ้นเข็มที่ 3 เป็นพื้นฐาน และฉีดเข็มกระตุ้นต่อไปทุก 4 เดือน เพื่อยกระดับภูมิคุ้มกัน โดยเฉพาะกลุ่มเสี่ยง 608 คือ ผู้สูงอายุ 60 ปีขึ้นไป ผู้ป่วยโรคเรื้อรัง และหญิงตั้งครรภ์ เพื่อป้องกันการป่วยหนักและเสียชีวิต

 

พรรคสร้างอนาคตไทยมีความห่วงใยต่อความเสี่ยงและสุขภาพของประชาชน ตลอดจนผลกระทบต่อสังคม และประเทศในภาพกว้าง  จึงได้ออกแถลงการณ์เพื่อเสนอแนะต่อหน่วยงานที่เกี่ยวข้องสรุปดังต่อไปนี้

1.สถานการณ์ของโควิด-19 ที่แย่ลง ไม่ได้มีเฉพาะจำนวนผู้ติดเชื้อเท่านั้นที่สูงขึ้น แต่พบว่าจำนวนผู้เสียชีวิตและผู้ป่วยใส่ท่อช่วยหายใจ ก็มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นด้วยเช่นกัน ซึ่งผู้เสียชีวิตส่วนใหญ่เป็นประชาชนกลุ่มที่ไม่เคยได้รับวัคซีนเลย หรือเคยได้รับวัคซีนแต่ไม่ครบ 


โดยเฉพาะอย่างยิ่งประชาชนอายุ 60 ปีขึ้นไป ซึ่งมีประมาณทั้งหมด 12.7 ล้านคน มีอัตราการรับวัคซีนเข็มที่ 3 โดยเฉลี่ยเพียงร้อยละ 47 เท่านั้น ในขณะที่อัตราการรับเข็มแรก ร้อยละ 84.5 และเข็มที่สอง ร้อยละ 80.5 นั่นหมายความว่ายังมีประชาชนกลุ่มเสี่ยงเฉพาะที่มีอายุ 60 ปี ขึ้นไป ยังไม่ได้รับวัคซีนเลยอีกประมาณ 2 ล้านคน และ 6.7 ล้านคนไม่เคยได้รับหรือรับไม่ครบตามคำแนะนำ 


ทั้งนี้ยังไม่ได้นับรวมหญิงตั้งครรภ์และผู้ป่วยโรคเรื้อรังที่มีอายุต่ำกว่า 60 ปี ซึ่งเป็นกลุ่มเสี่ยงสูงของโรคโควิด-19 เช่นกัน กอปรกับคาดว่าภูมิคุ้มกันหมู่หรือภูมิคุ้มกันชุมชนจากการฉีดวัคซีนโรคโควิด-19 มีประสิทธิผลน้อยในการป้องกันการแพร่ระบาดของโรค จึงยังทำให้ผู้ไม่ได้รับวัคซีน หรือได้รับไม่ครบยังมีความเสี่ยงสูงมากต่อการติดเชื้อ ป่วยหนักและเสียชีวิต


2.การให้วัคซีนเป็นมาตรการสำคัญในการรับมือกับโรคโควิด-19  แต่กลับพบว่า การได้รับวัคซีนของประชาชนยังไม่ได้เพิ่มสูงขึ้นนัก ทั้งที่ได้รณรงค์และให้ความสำคัญตลอดมา สถานการณ์เช่นนี้สะท้อนให้เห็นว่า กระทรวงสาธารณสุขควรยกระดับการรณรงค์และการติดตามผลการให้วัคซีนอย่างจริงจัง และเน้นการใช้มาตรการเชิงคุณภาพทางด้านการประชาสัมพันธ์และการสื่อสารให้มากยิ่งขึ้น  


เพราะการยอมรับวัคซีนของประชาชนในแต่ละกลุ่ม แต่ละพื้นที่ มีความแตกต่างกันทั้งด้านความรู้ ทัศนคติ และความเชื่อต่าง ๆ ดังนั้น การรณรงค์หรือการให้คำแนะนำที่ผ่านมายังไม่มีประสิทธิผลเพียงพอ


3.เพื่อให้การติดตามและประเมินสถานการณ์ตลอดจนการออกมาตรการรับมือได้อย่างถูกต้อง มีประสิทธิภาพ พรรคจึงขอเรียกร้องให้กระทรวงสาธารณสุขแสดงข้อมูลการได้รับวัคซีนจำแนกตามกลุ่มต่าง ๆ ให้ชัดเจน ทั้งกลุ่มอายุ และกลุ่มโรคเสี่ยงต่าง ๆ โดยควรลงลึกแสดงเป็นรายจังหวัดและพื้นที่ย่อย  


เพราะจากการลงพื้นที่ของพรรคฯ ทำให้เชื่อได้ว่าการได้รับวัคซีนมีความแตกต่างกันมากในแต่ละพื้นที่ แม้เป็นกลุ่มอายุหรือกลุ่มเสี่ยงประเภทเดียวกันก็ตาม  ซึ่งถ้าทำได้จะทำให้การมุ่งเน้นและการรณรงค์ตามพื้นที่และกลุ่มเสี่ยงมีประสิทธิภาพ ตลอดจนสามารถกระจายวัคซีนได้อย่างเหมาะสม


4. กระทรวงสาธารณสุขและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องควรปรับเปลี่ยนแนวทางและมาตรการในการควบคุมและป้องกันโรค หรือการใช้ยารักษาซึ่งเป็นที่ยอมรับของประชาชน เพราะการใช้มาตรการที่เป็นเพียงแนวคิดเชิงทฤษฎี ระดับบุคคล ไม่มีข้อมูลสนับสนุนเชิงประจักษ์ในทางปฏิบัติในภาพกว้างที่ชัดเจน เช่น การส่งเสริมให้รับวัคซีนเข็มกระตุ้นทุก 4 เดือน หรือการรับวัคซีนเข็มที่ 4 แทนที่จะมุ่งทุ่มเทสรรพกำลังไปกับการรณรงค์กลุ่มเป้าหมายที่ยังไม่ได้รับหรือยังรับวัคซีนไม่ครบ เป็นหลัก เพื่อผลในการควบคุมป้องกันโรคที่สูงกว่า 


การลดจำนวนวันในกระบวนการรักษาเป็น 5+5 วัน โดย 5 วันหลัง เป็นการสังเกตอาการ และสามารถออกไปข้างนอกได้ ซึ่งยังไม่มีข้อมูลผลกระทบเชิงสาธารณสุขที่ชัดเจนต่อการแพร่เชื้อของผู้ป่วย การใช้ยาต้านไวรัสฟาวิพิราเวียร์เพื่อการรักษา ทั้งที่ผลการศึกษาในประเทศและนานาชาติพบว่า ยานี้ไม่ได้ช่วยลดจำนวนไวรัส และประเทศส่วนใหญ่ รวมทั้งประเทศผู้ผลิตได้เลิกใช้ยานี้แล้ว เป็นต้น


ด้วยความห่วงใย


พรรคสร้างอนาคตไทย