วันที่ 22 มิ.ย. 2565 นายธนกร วังบุญคงชนะ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เผยว่า เมื่อเวลา 09.30 น.ที่ตึกภักดีบดินทร์ ทำเนียบรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรมว.กลาโหม เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ (คนร.) ครั้งที่ 2/2565
ร่วมกับ นายสุพัฒนพงษ์ พันธ์มีเชาว์ รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน นายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง นายชัยวุฒิ ธนาคมานุสรณ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม และผู้ที่เกี่ยวข้อง
นายกรัฐมนตรี กล่าวมอบนโยบายต่อที่ประชุมว่า การประชุมวันนี้เพื่อเป็นการติดตามความก้าวหน้าการดำเนินการตามมติ คนร.ที่ผ่านมาในหลายๆ เรื่อง อาทิ สถานการณ์การดำเนินงานของบริษัทในเครือของรัฐวิสาหกิจ การแก้ไขปัญหาของรัฐวิสาหกิจ
และแผนพัฒนารัฐวิสาหกิจ 5 ปี โดยขอให้คณะกรรมการร่วมกันเสนอความคิดเห็นที่เป็นประโยชน์เพื่อทำให้รัฐวิสาหกิจมีความเข้มแข็ง สามารถจะดูแลประชาชน ประเทศชาติ ได้ตามวัตถุประสงค์ของรัฐบาลในการขับเคลื่อนงานรัฐวิสาหกิจ
นายกรัฐมนตรี กล่าวถึงในส่วนของแผนพัฒนารัฐวิสาหกิจ ว่า จะต้องเป็นการทำงานที่สอดคล้องกับการทำงานของรัฐบาลและทุกกระทรวง โดยขอให้มีการเพิ่มเติมรายละเอียดสาระสำคัญให้ครอบคลุม อาทิ การเน้นเรื่องวาระโลกร้อน การลดก๊าซ CO2 เศรษฐกิจ BCG เป็นต้น เพื่อให้เสริมการทำงานของกระทรวง กรม ต่างๆ
โดยเฉพาะในเรื่องดิจิทัลที่จะทำให้เกิดรายได้ ยกตัวอย่าง โครงการ SME One ID : หนึ่งรหัส หนึ่งผู้ประกอบการ ที่เป็นการนำเทคโนโลยีดิจิทัลมาใช้ในการบริหารงาน อำนวยความสะดวกให้ผู้ประกอบการ สามารถสร้างรายได้เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว ซึ่งเป็นการพัฒนาร่วมกันระหว่าง สสว.และกระทรวงดีอีเอส เป็นต้น
ทั้งนี้ นายกรัฐมนตรี กล่าวชื่นชมการจัดทำพัฒนาแผนรัฐวิสาหกิจ ที่ได้ Mapping บทบาทของรัฐวิสาหกิจกับยุทธศาสตร์ชาติ และแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 13 ทำให้มีความชัดเจนมากยิ่งขึ้น อย่างไรก็ตาม ผู้ปฏิบัติจะต้องขับเคลื่อนการดำเนินงานแผนให้เกิดผลการดำเนินงานที่เป็นรูปธรรม
โดยเฉพาะการแปลงแผนพัฒนารัฐวิสาหกิจ สู่แผนวิสาหกิจของแต่ละองค์กร มีการสร้างพันธมิตรระหว่างรัฐวิสาหกิจด้วยกันเอง ระหว่างธุรกิจเอกชน ระหว่างรัฐวิสาหกิจกับชุมชน ที่จะทำให้การพัฒนาประเทศเกิดพลังมากยิ่งขึ้น ทั้งจะลดความซ้ำซ้อนในการทำงาน ลดการใช้จ่ายงบประมาณโดยไม่จำเป็น รวมทั้งสร้างมูลค่าเพิ่มในห่วงโซ่ต่างๆ ที่มีอยู่
พร้อมกันนี้ นายกรัฐมนตรี กล่าวถึงเรื่องการแก้ไขปัญหาความยากจนรายครัวเรือนแบบพุ่งเป้าตาม TPMAP ที่รัฐบาลกำลังขับเคลื่อนดำเนินการตลอดปี 2565 ได้มีการลงรายละเอียดทุกพื้นที่ มุ่งเน้นแก้ไขปัญหา 5 ประการคือ 1) รายได้ ลดความเหลื่อมล้ำ 2) คุณภาพชีวิต 3) การเข้าถึงการศึกษา 4) การเข้าถึงการสาธารณสุข มีสุขภาพที่ดี
\
5) การเข้าถึงบริการภาครัฐ ซึ่งได้มีการตรวจสอบและได้ข้อมูลแล้ว โดยจะใช้งบประมาณของภาครัฐลงไปทุกกระทรวง หาเป้าหมายให้เจอเพื่อให้การส่งเสริม ซึ่งรัฐวิสาหกิจสามารถมีส่วนที่จะช่วยตรงนี้ โดยขอให้รัฐวิสาหกิจพิจารณาปรับการใช้งบ CSR เพื่อนำมาช่วยเสริมการแก้ไขปัญหาความยากจนได้
สำหรับมติที่ประชุม คนร.ที่สำคัญ คนร.เห็นชอบร่างแผนพัฒนารัฐวิสาหกิจ พ.ศ.2566 - 2570 (แผนพัฒนารัฐวิสาหกิจฯ) ซึ่งจะเป็นกรอบทิศทางหลักในการพัฒนารัฐวิสาหกิจแต่ละแห่ง ให้มีความสอดคล้องกับยุทธศาสตร์ชาติ แผนแม่บทภายใต้ยุทธศาสตร์ชาติ และแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 13 เพื่อเป็นกลไกในการถ่ายทอดยุทธศาสตร์ไปสู่การปฏิบัติได้อย่างครบถ้วน
โดยแผนพัฒนารัฐวิสาหกิจฯ มุ่งเน้นให้รัฐวิสาหกิจมีบทบาทและภารกิจขององค์กรที่ชัดเจนในการกระตุ้นเศรษฐกิจ พัฒนาสังคมและคุณภาพชีวิตของประชาชน ผ่านการลงทุน การจ้างงาน และการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานต่างๆ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและยกระดับการให้บริการประชาชน
ให้ตอบโจทย์หมุดหมายหลักทั้ง 13 หมุดหมายภายใต้แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 13 ในด้านต่างๆ อาทิ การเกษตร การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน การส่งเสริม SMEs และธุรกิจ Startup การท่องเที่ยว รวมทั้งการพัฒนาองค์กรไปสู่องค์กรดิจิทัลในด้านการให้บริการและการบริหารจัดการ เป็นต้น
นอกจากนี้ คนร. ยังได้กำหนดนโยบายให้มีการบูรณาการร่วมกับหน่วยงานอื่นๆ ทั้งภาครัฐ เอกชน และประชาสังคม ในการขับเคลื่อนเพื่อพัฒนาประเทศให้เป็นไปตามหลักเศรษฐกิจแบบองค์รวม (BCG) และแนวคิดการดำเนินธุรกิจอย่างยั่งยืน (ESG)
รวมทั้งให้มีการติดตามและประเมินผลการดำเนินงานของรัฐวิสาหกิจตามแผนดังกล่าวด้วย ซึ่งรัฐวิสาหกิจจะนำแผนพัฒนารัฐวิสาหกิจฯ ไปเป็นหลักในการจัดทำแผนวิสาหกิจของหน่วยงานให้สอดคล้องและจะมีการติดตามอย่างต่อเนื่องต่อไป
"คนร.รับทราบความคืบหน้าการดำเนินการแก้ไขปัญหาองค์กรของรัฐวิสาหกิจทั้ง 6 แห่ง ได้แก่ การรถไฟแห่งประเทศไทย องค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ บริษัท โทรคมนาคมแห่งชาติ จำกัด (มหาชน) บริษัท อสมท จำกัด (มหาชน) ธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย และธนาคารอิสลามแห่งประเทศไทย
คนร.ได้กำชับให้รัฐวิสาหกิจเร่งดำเนินการตามแผนให้เห็นผลอย่างเป็นรูปธรรมและให้กระทรวงเจ้าสังกัดกำกับดูแลและรายงานความคืบหน้าต่อ คนร. อย่างต่อเนื่อง
รวมทั้ง คนร.รับทราบผลการดำเนินการของบริษัทในเครือของรัฐวิสาหกิจ ณ สิ้นปี 2564 และได้กำชับให้รัฐวิสาหกิจกำกับดูแลการดำเนินการของบริษัทในเครือให้สอดคล้องกับภารกิจของรัฐวิสาหกิจ และในกรณีที่มีผลประกอบการขาดทุน ให้จัดทำแผนแก้ไขปัญหาเพื่อเสนอกระทรวงเจ้าสังกัดพิจารณาและรายงาน คนร. ต่อไป"
นายธนกร กล่าวว่า ในตอนท้าย นายกรัฐมนตรีกล่าวขอบคุณบอร์ด คนร.ทุกคนที่ช่วยกันคิดและทำเพื่อประเทศไทย เพื่อคนไทยทุกคน
ยืนยันว่านายกฯ ไม่เป็นผู้ขัดแย้งกับใคร และทำหน้าที่ให้ดีที่สุดเพื่อคนไทยทั้ง 70 ล้านคนโดยไม่แบ่งแยกพื้นที่ ไม่แบ่งแยกการเมืองใดๆ ทั้งสิ้น โดยรัฐบาลจะต้องขับเคลื่อนข้าราชการทุกกระทรวงให้เดินหน้าไปด้วยกันอย่างพร้อมเพรียง