กสม. ชี้ ตร.สลายม็อบจะนะ 6 ธันวา 64 เกินกว่าเหตุ ละเมิดสิทธิมนุษยชน

16 มิ.ย. 2565 | 07:40 น.

กสม. ชี้ กรณีสลายการชุมนุมเครือข่ายจะนะรักษ์ถิ่นเมื่อวันที่ 6 ธันวาคม 2564 เจ้าหน้าที่ตำรวจทำเกินกว่าเหตุ ละเมิดสิทธิผู้ชุมนุมและเสรีภาพสื่อมวลชน 

16 มิถุนายน 2565 คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ หรือ กสม. โดย นายวสันต์ ภัยหลีกลี้ และ นางสาวปิ ติกาญจน์ สิทธิเดช กรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ แถลงข่าวประจำสัปดาห์ โดยหนึ่งในวาระสำคัญในการประชุมครั้งนี้ คือ ผลการตรวจสอบเหตุสลายการชุมนุมเครือข่ายจะนะรักษ์ถิ่นเมื่อเดือนธันวาคม 2564 โดยชี้ว่า เจ้าหน้าที่ละเมิดมิดเสรีภาพในการชุมนุมโดยสงบ แนะ สตช. ทบทวนแนวปฏิบัติในการจัดการการชุมนุม

 

ตามที่คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ(กสม.) ได้รับเรื่องร้องเรียนขอให้ตรวจสอบกรณี เหตุการณ์สลายการชุมนุมของเครือข่ายจะนะรักษ์ถิ่น เมื่อวันที่ 6 ธันวาคม 2564 ณ บริเวณทำเนียบรัฐบาล  

 

สืบเนื่องจากเครือข่ายฯ กว่า 30 คน ได้เดินทางมารวมตัวเพื่อทวงสัญญาจากรัฐบาลในการแก้ไขปัญหา โครงการนิคมอุตสาหกรรมจะนะ จังหวัดสงขลา โดยให้มีการประเมินสิ่งแวดล้อมระดับยุทธศาสตร์ (Strategic Environmental Assessment: SEA) แบบมีส่วนร่วมก่อนดำเนินการโครงการนั้น

กสม. ได้พิจารณาแล้วเห็นว่า กรณีดังกล่าวมีปัญหาที่ต้องพิจารณาว่า เหตุการณ์การสลายการชุมนุม ของเครือข่ายจะนะรักษ์ถิ่น เจ้าหน้าที่ตำรวจสังกัดกองบังคับการอารักขาและควบคุมฝูงชน ผูู้ถูกร้องและเจ้าหน้าที่ตำรวจสถานีตำรวจนครบาลดุสิต มีการกระทำหรือการละเลยการกระทำอันเป็นการละเมิดสิทธิมนุษยชนของเครือข่ายจะนะรักษ์ถิ่นหรือไม่โดยพิจารณาออกเป็น 3 ประเด็น ได้ดังนี้ 

 

ประเด็นที่หนึ่ง การปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าหน้าที่ในการเข้าควบคุมตัวผู้ชุมนุมของเครือข่ายจะนะรักษ์ถิ่น มีการกระทำอันเป็นการละเมิดสิทธิมนุษยชนหรือไม่ 

 

เห็นว่า การชุมนุมของเครือข่ายฯ เมื่อวันที่ 6 ธันวาคม 2564 เป็นการใช้เสรีภาพในการชุมนุมตามรัฐธรรมนูญซึ่งเป็นไปโดยสงบปราศจากอาวุธที่ไม่ถือว่าเป็นความรุนแรง ในส่วนของเจ้าหน้าที่ได้ควบคุมการชุมนุมเป็นไปตามแผนปฏิบตัการ โดยมีการเจรจากับผู้ชุมนุมหลายคร้ังเพื่อขอให้เคลื่อนย้ายไปชุมนุมนอกบริเวณพื้นที่ทำเนียบรัฐบาล แต่เมื่อล่วงเลยเวลาที่ กำหนดให้ผู้ชุมนุมเคลื่อนย้าย กลับใช้วิธีเข้าสลายการชุมนุมและควบคุมตัวผู้ชุมนุมเพื่อดำเนินคดีตาม กฎหมาย โดยอ้างว่า เนื่องจากในวันที่ 7 ธันวาคม 2564 เป็นวันเปิดทำการจะมีการใช้เส้นทางหนาแน่น และ การชุมนุมมีความเสี่ยงต่อการแพร่ระบาดของโรคโควิด 19 การชุมนุมดังกล่าวเป็นการชุมนุมโดยผิดกฎหมาย 

 

กสม. เห็นว่า เหตุผลตามที่กล่าวอ้างนั้นยังไม่อาจพิจารณาได้ว่า เป็นเหตุแห่งความจำเป็นในการเข้าสลายการชุมนุมโดยสงบและปราศจากอาวธุ การกระทำ ดังกล่าวจึงเป็นการจำกัดเสรีภาพในการชุมนุมของผู้ชุมนุมเครือข่ายจะนะรักษ์ถิ่น และกระทบต่อสิทธิและเสรีภาพในชีวิตและร่างกายของผูู้ชุมนุมตามที่ รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจกัรไทยได้รับบรองและคุ้มครองไว้อันเป็นการละเมิดสิทธิมนุษยชน

ประเด็นที่สอง การดำเนินการตามกระบวนการยุติธรรมของพนักงานสอบสวนสถานีตำรวจนครบาลดุสิตต่อผู้ชุมนุมมีการกระทำอันเป็นการละเมิดสิทธิมนุษยชนหรือไม่ 

 

เห็นว่า ในการพิจารณาดำเนินคดีกับผู้ชุมนุมจากการใช้เสรีภาพในการชุมนุมโดยสงบและปราศจากอาวุธตามรัฐธรรมนูญ แม้ว่าจะอยู่ภายใต้การบังคับใช้พระราชกำหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ. 2548 หรือในช่วงสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด 19  เจ้าหน้าที่หน้าที่ซึ่งมีอำนาจบังคับใช้กฎหมายควรพิจารณาถึงความได้สัดส่วนเพื่อคุ้มครองเสรีภาพในการชุมนุม

 

ตลอดจนไม่กระทำการอันใดที่เป็นการจำกัด หรือ สร้างภาระแก่ผู้ใช้เสรีภาพดังกล่าวเกินสมควรแก่เหตุซึ่งจากการตรวจสอบพบว่า พนักงานสอบสวนได้สอบปากคำและแจ้งข้อกล่าวหาผู้ชุมนุมที่ถูกควบคุมตัวในฐานความผิดตามกฎหมายหลายฉบับ ได้แก่ พระราชกำหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ. 2548 ประมวลกฎหมายอาญา 
พระราชบัญญัติทางหลวง  พ.ศ. 2535 พระราชบัญญัติจราจรทางบก พ.ศ. 2522 พระราชบัญญัติรักษาความสะอาดและความเป็นระเบียบเรียบร้อยของบ้านเมือง พ.ศ. 2535 และพระราชบัญญัติควบคุมการโฆษณาโดยใช้เครื่องขยายเสียง พ.ศ. 2493 ส่งผลให้ผู้ชุุมนุมที่ถูกจับต้องเดินทางไปรายงานตัวตามหมายเรียกอยู่เป็นระยะจนถึงปัจจุบัน 

 

กสม. เห็นว่า การดำเนินคดีต่อผู้ชุมนุมกรณีนี้ไม่น่าจะเป็นประโยชน์ต่อสาธารณะเนื่องจากการชุมนุมมีวัตถุประสงค์เพื่อการติดตามทวงถามการแก้ไขปัญหาของรัฐบาลต่อโครงการนิคมอุตสาหกรรมจะนะ ซึ่งสุดท้ายแล้วรัฐบาล ได้รับข้อเสนอของผู้ชุมนุมไว้เพื่อตรวจสอบข้อเท็จจริง การกระทำของพนักงานสอบสวนจึงเป็นการกระทำเกินสมควรแก่เหตุและสร้างภาระแก่ผู้ใช้เสรีภาพในการชุมนุมโดยสงบและปราศจากอาวุธตามรัฐธรรมนูญ  อันเป็นการละเมิดสิทธิมนุษยชน  


ประเด็นที่ 3 การปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าหน้าที่ในเหตุการณ์การชุมนุมของเครือข่ายจะนะรักษ์ถิ่น มีการกระทำอันเป็นการละเมิดสิทธิมนุษยชนต่อสื่อมวลชนหรือไม่

 

จากการตรวจสอบปรากฏข้อเท็จจริง พบว่า ในการสลายการชุมนุมเจ้าหน้าที่ตำรวจได้ประกาศให้สื่อมวลชนออกจากพื้นที่การชุมนุมและมีการใช้อุปกรณ์ยิงแสงเลเซอร์ส่องไปยังสื่อมวลชนและอุปกรณ์ถ่ายภาพทำให้สื่อมวลชนไม่สามารถถ่ายภาพขณะเจ้าหน้าที่เข้าปฏิบัติการสลายการชุมนุมและควบคุมตัวผู้ชุุมนุมได้ ทั้งยังอาจทำให้เซ็นเซอร์กล้องได้รับความเสียหายและมีผลต่อการมองเห็นชั่วคราวของดวงตาได้

 

ดังน้ัน หากการใช้สิทธิและเสรีภาพของสื่อมวลชนอยู่ภายใต้ขอบเขตที่กฎหมายกำหนดไว้เจ้าหน้าที่จะต้องอำนวยความสะดวกและไม่ปิดกั้นสื่อมวลชนในการทำหน้าที่รายงานสถานการณ์และข้อเท็จจริงอย่างเสรีโดยไม่สร้างอุปสรรคอันเป็นการกระทบต่อสิทธิและเสรีภาพในการปฏิบัติหน้าที่ของสื่อมวลชนเกินความจำเป็น จึงเห็นว่าการกระทำดังกล่าวของเจ้าหน้าที่ เป็นการกระทบต่อสิทธิและเสรีภาพของสื่อมวลชนตามที่รัฐธรรมนูญแห่ง ราชอาณาจักรไทยได้รับรองและคุ้มครองไว้ อันเป็นการละเมิดสิทธิมนุษยชน  


ด้วยเหตุดังกล่าวข้างต้น กสม. ในคราวประชุมด้านการคุ้มครองและมาตรฐานการคุ้มครอง สิทธิมนุษยชน เมื่อวันที่ 13 มิถุนายน 2565 จึงมีข้อเสนอแนะแนวทางในการป้องกันหรือแก้ไขการละเมิดสิทธิมนุษยชนต่อสำนักงานตรวจแห่งชาติ สรุปได้ดังนี้ 

 

1.ทบทวนแนวทางปฏิบัติในการควบคุมและจัดการการชุมนุมซึ่งจะต้องไม่กระทำการใด ๆ ในลักษณะที่เป็นการกระทบต่อสิทธิและเสรีภาพของผู้ชุมนุม และจัดสถานที่ที่ปลอดภัยให้แก่ผู้ชุมนุมที่ใช้ สิทธิและเสรีภาพในการชุมนุมโดยสงบ  

 

2.กำชับแนวทางปฏิบัติต่อการดำเนินคดีกับผู้ชุมนุมอันสืบเนื่องมาจากการใช้สิทธิและเสรีภาพ ในการชุมนุมตามรัฐธรรมนูญ โดยให้ดำเนินการอย่างระมัดระวังซึ่งต้องคำนึงถึงความได้สัดส่วนและความจำเป็นตามแต่ละกรณีโดยหลีกเลี่ยงการตั้งข้อหาหรือฐานความผิดที่เป็นการจำกัดหรือสร้างภาระแก่ผู้ใชสิทธิและเสรีภาพดังกล่าวเกินสมควรแก่เหตุ 

 

3.กำชับให้เจ้าหน้าที่ตำรวจซึ่งมีหน้าที่ในการควบคุมและดูแลสถานการณ์การชุมนุม อำนวยความสะดวกและเปิดโอกาสให้สื่อมวลชนทำหน้าที่รายงานสถานการณ์และข้อเท็จจริงอย่างเสรีโดยไม่สร้างอุปสรรคอันเป็นการกระทบต่อสิทธิและเสรีภาพในการปฏิบัติหน้าที่เกินความจำเป็น 

 

หากการใช้สิทธิและเสรีภาพของสื่อมวลชนอยู่ภายใต้ขอบเขตที่กฎหมายกำหนดไว้ ทั้งนี้ ให้ดำเนินการภายใน 60 วันนับแต่วันที่ได้รับแจ้งรายงานผลการตรวจสอบกรณีนี้