“ดีเอสไอ”ลุยยึดทรัพย์เครือข่ายยาเสพติดรายใหญ่เชียงราย 1,380 ล้านบาท

31 มี.ค. 2565 | 11:29 น.

"ดีเอสไอ" ขยายผลยึดทรัพย์เครือข่ายยาเสพติดรายใหญ่ชายแดนแม่สาย-เชียงแสน จังหวัดเชียงราย ร่วม 1,380 ล้านบาท มีวงเงินหมุนเวียนมากถึง 1,900 ล้านบาท 

วันนี้(31 มี.ค.65) นพ.ไตรยฤทธิ์ เตมหิวงศ์ อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) ได้มอบหมายให้ นายธานินทร์ เปรมปรีดิ์ ผู้อำนวยการกองคดีคุ้มครองผู้บริโภค และศูนย์ปฏิบัติการคดีพิเศษ เขตพื้นที่ 5 (เชียงใหม่) เร่งดำเนินการสืบสวนและรวบรวมพยานหลักฐาน เพื่อยื่นคำร้องขอหมายค้นจากศาลจังหวัดเชียงราย เพื่อเข้าปฏิบัติการตรวจค้นบ้านพักของกลุ่มเครือข่ายยาเสพติด 


โดยให้สนธิกำลังกับเจ้าหน้าที่ตำรวจสถานีตำรวจภูธรแม่สาย และสถานีตำรวจภูธรเชียงแสน จังหวัดเชียงราย เข้าตรวจค้นบ้านพักของกลุ่มเครือข่ายยาเสพติด (คดีพิเศษที่ 32/2564) จำนวน 3 จุดพร้อมกัน ได้แก่ ตำบลเวียงพางคำ อำเภอแม่สาย 2 จุด และตำบลป่าสัก อำเภอเชียงแสน 1 จุด

นายไตรยฤทธิ์ กล่าวว่า ตามนโยบายการปราบปรามยาเสพติดของนายสมศักดิ์ เทพสุทิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม ภายใต้ปฏิบัติการ "พาลีปราบยา" ให้ยึดทรัพย์สินและทำลายเครือข่ายการค้ายาเสพติด โดยใช้มาตรการทางกฎหมายตามประมวลกฎหมายยาเสพติด พ.ศ.2564 อันจะทำให้การดำเนินการยึดทรัพย์ของเครือข่ายยาเสพติดมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น


จากการตรวจค้นสามารถยึดเอกสารและพยานหลักฐานได้เป็นจำนวนมาก โดยได้ตรวจสอบการทำธุรกรรมทางการเงินของกลุ่มเครือข่ายบุคคลดังกล่าว ปรากฏมีวงเงินหมุนเวียนมากถึง 1,900 ล้านบาท จึงได้ดำเนินการอายัดทรัพย์สินไว้เพื่อทำการตรวจสอบ ดังนี้

อายัดบัญชีธนาคารของกลุ่มเครือข่ายดังกล่าว จำนวน 246 บัญชี

 

อายัดรถยนต์และรถจักรยานยนต์ จำนวน 155 คัน เป็นเงินสดประมาณ 130 ล้านบาท 

 

และอายัดโฉนดที่ดิน จำนวน 232 แปลง เป็นเงินประมาณ 1,250 ล้านบาท

 

รวมเป็นเงินทั้งสิ้นประมาณ 1,380 ล้านบาท

                                             “ดีเอสไอ”ลุยยึดทรัพย์เครือข่ายยาเสพติดรายใหญ่เชียงราย 1,380 ล้านบาท

ทั้งนี้ กรมสอบสวนคดีพิเศษ จะได้มีหนังสือเรียกบุคคลที่ถือกรรมสิทธิ์ในรถยนต์และรถจักรยานยนต์ รวมทั้งเจ้าของที่ดินมาชี้แจง หากไม่สามารถชี้แจงที่มาของทรัพย์สินดังกล่าวได้ จะได้ใช้มาตรการทางกฎหมายตามประมวลกฎหมายยาเสพติด พ.ศ.2564 ยึดทรัพย์เพื่อเข้ากองทุนป้องกัน ปราบปราม และแก้ไขปัญหายาเสพติดต่อไป 


รวมทั้งจะได้เร่งดำเนินคดีกับกลุ่มเครือข่ายผู้กระทำความผิด ตามพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน พ.ศ.2542 และความผิดตามประมวลรัษฎากรฐานหลีกเลี่ยงภาษีอีกด้วย