ศรีสุวรรณพบข้อมูลใหม่จ่อร้องป.ป.ช.เพิ่มสอบประมูล"ท่อส่งน้ำอีอีซี"

02 มี.ค. 2565 | 05:10 น.

“ศรีสุวรรณ”เผยพบข้อมูลใหม่จ่อร้อง ป.ป.ช.เพิ่ม สอบการประมูล “ท่อส่งน้ำอีอีซี” มูลค่า 2.5 หมื่นล้าน ชี้อาจขัดหรือแย้งต่อมติคณะรัฐมนตรี ส่อเอื้อประโยชน์ให้เอกชนนำทรัพย์สินของรัฐไปแสวงหากำไรและผลประโยชน์โดยมิชอบ

นายศรีสุวรรณ จรรยา เลขาธิการสมาคมองค์การพิทักษ์รัฐธรรมนูญไทย เปิดเผยว่า ตามที่กระทรวงการคลังเปิดประมูลโครงการบริหารท่อส่งน้ำสายหลักภาคตะวันออก ถึง 2 ครั้ง โดยครั้งแรกพบว่า บริษัท จัดการและพัฒนาทรัพยากรน้ำภาคตะวันออก จำกัด หรือ อีสต์วอเตอร์ เป็นผู้ได้คะแนนสูงสุด 

 

แต่คณะกรรมการกลับมีมติยกเลิกการประมูลดังกล่าวและให้ประมูลใหม่ โดยอ้างว่า TOR ที่คณะกรรมการคัดเลือกมีมติรับรองแล้วนั้นไม่ชัดเจน ทั้งๆ ที่คณะกรรมการคัดเลือกเป็นผู้กำหนด และพิจารณามีมติรับรองมาแล้ว ก่อนที่จะให้เอกชนเสนอรายละเอียดเข้าร่วมประมูล 

ต่อมามีการเปิดประมูลครั้งที่ 2 ผลปรากฏว่า บริษัท วงษ์สยามก่อสร้าง จำกัด เสนอผลประโยชน์ตอบแทนให้ภาครัฐสูงสุด 25,693.22 ล้านบาท ตลอดอายุสัญญา 30 ปี เอาชนะ บมจ.จัดการและพัฒนาทรัพยากรน้ำภาคตะวันออก (EASTW) หรือ “อีสท์วอเตอร์” ซึ่งเสนอผลประโยชน์ตอบแทนให้ภาครัฐ 24,212.88 ล้านบาท ตลอดอายุสัญญา 30 ปี 

 

การใช้อำนาจของคณะกรรมการดังกล่าวมีข้อพิรุธหลายประการ จนมีการนำความไปฟ้องศาลปกครอง และสมาคมฯ ได้ยื่นร้องเรียนต่อ ป.ป.ช.ไปแล้วเมื่อวันที่ 3 ธ.ค.2564 ที่ผ่านมา โดยชี้ให้เห็นถึงข้อผิดพลาดหลายประการที่ส่อไปในทางที่ไม่ชอบด้วยพรบ.การจัดซื้อจัดจ้างและการบริหารพัสดุภาครัฐ 2560 พรบ.ว่าด้วยความผิดเกี่ยวกับการเสนอราคาต่อหน่วยงานของรัฐ 2542 และ พรบ.วินัยการเงินการคลังของรัฐ 2561 และชี้ให้เห็นถึงความไม่ชอบมาพากลอีกหลายประการ

ล่าสุด สมาคมฯ ได้ตรวจสอบมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 4 ก.พ.2535 พบว่าคณะรัฐมนตรีเป็นผู้อนุมัติให้มีการก่อตั้ง บริษัทอีสต์วอเตอร์ ขึ้นมาเอง โดยให้การประปาส่วนภูมิภาค เป็นผู้ลงทุนเองทั้งหมด และให้โอนสิทธิ หรือ เช่าบริหารทรัพย์สินจากหน่วยงานต่างๆ มาให้บริษัทดังกล่าวดูแล 


เช่น ท่อส่งน้ำดอกกราย-มาบตาพุด ของการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย ท่อส่งน้ำหนองค้อ-แหลมฉบัง ของกรมโยธาธิการฯ ท่อส่งน้ำมาบตาพุด-สัตหีบ ของกรมชลประทาน เป็นต้น 


โดยมีเงื่อนไข 3 ประการ คือ 1. ปริมาณน้ำดิบที่ต้องจัดสรรนั้น ควรให้ความสำคัญกับนิคมอุตสาหกรรมมาบตาพุดเป็นอันดับแรก 2. การกำหนดอัตราค่าน้ำ ควรกำหนดในอัตราที่เหมาะสม ไม่ควรมุ่งค้ากำไรเกินควร และ 3. การจัดสรรน้ำควรจ่ายให้แก่อุตสาหกรรมที่อยู่ในเขตการนิคมฯ มากกว่าที่อยู่นอกเขตฯ


ดังนั้น การเปิดประมูลโครงการบริหารท่อส่งน้ำสายหลักภาคตะวันออก ซึ่งทรัพย์สินส่วนใหญ่เป็นของทางราชการ หรือ หน่วยงานของรัฐมาตั้งแต่ต้น โดยนำมาแสวงหากำไรและผลประโยชน์ให้เอกชนเข้าประมูล อาจขัดหรือแย้งต่อมติคณะรัฐมนตรีดังกล่าวได้ 


อีกทั้งอาจเป็นการเอื้อประโยชน์ให้กับเอกชนนำทรัพย์สินของรัฐไปแสวงหากำไร และผลประโยชน์โดยมิชอบ อันอาจเข้าข่ายการทุจริตต่อหน้าที่ ตามพรป.ว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต 2561 อีกด้วย 


สมาคมฯ จึงจะนำเอกสารข้อมูลหลักฐานดังกล่าวไปยื่นเพิ่มให้ ป.ป.ช.ในการสอบสวนอีกในวันพฤหัสที่ 3 มี.ค.65 เวลา 10.00 น. ณ สำนักงาน ป.ป.ช.นนทบุรี