พิมพ์รพี ห่วง“โอไมครอน” กระทบศก.ท่องเที่ยว ทั่วโลกชะงักเดินทาง

30 พ.ย. 2564 | 07:35 น.

พิมพ์รพี ห่วง “โอไมครอน” ทำการเดินทางทั่วโลกชะงัก กระทบการฟื้นตัวเศรษฐกิจ-ท่องเที่ยวของไทย คาดกว่าจะกลับมาเกือบปกติ ใช้เวลาไม่ต่ำกว่า 2 ปี

วันที่ 30 พ.ย.2564 ดร.พิมพ์รพี พันธุ์วิชาติกุล ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึงการแพร่ระบาดของไวรัสโอไมครอนว่า อาจเป็นตัวพลิกเกมที่ทำให้การฟื้นตัวของเศรษฐกิจทั่วโลก รวมทั้งไทยสะดุดอีกครั้ง ซึ่งจากข้อมูลล่าสุดมีอย่างน้อย 23 ประเทศแล้วที่พบไวรัสสายพันธุ์นี้ ขณะที่การเดินทางทั่วโลกมีแนวโน้มจะหยุดชะงักอีกครั้ง จากมาตรการปิดประเทศ ที่หลายประเทศเริ่มดำเนินการแล้ว ในขณะที่ไทยอยู่ระหว่างเปิดประเทศ และยกระดับมาตรการคุมเข้มโรคเข้มข้นขึ้น การท่องเที่ยวที่หวังว่าจะกลับมากระเตื้องในช่วงไฮซีซัน อาจไม่เป็นไปตามคาด

 

สิ่งที่อยากให้รัฐบาลเร่งผลักดันคือ การเสริมสภาพคล่อง ประคองธุรกิจท่องเที่ยวที่ใกล้หมดลมหายใจไปทุกขณะ ให้ยืนระยะสู้โรคภัยที่รุมเร้าไม่เลิกให้ได้ ไม่เช่นนั้นเราคงได้เห็นการกว้านซื้อ ยึดขายทอดตลาด ธุรกิจโรงแรมเป็นจำนวนมาก รวมถึงบรรดาธุรกิจต่อเนื่องก็ไปไม่รอดเช่นเดียวกัน

 ดร.พิมพ์รพี พันธุ์วิชาติกุล ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาธิปัตย์

ดร.พิมพ์รพี  กล่าวว่า  เคยประเมินไว้ว่าการท่องเที่ยวจะกลับมาฟื้นตัวได้จริง ๆ ต้องใช้เวลาไม่ต่ำกว่าสองปี และขณะนี้ก็ยังคิดเช่นนั้น เพราะระหว่างทางเราไม่มีทางทราบได้ว่า จะเกิดไวรัสกลายพันธุ์อีกกี่ครั้ง การฝากความหวังทั้งหมดกับการเดินทางของคนต่างชาติ ไม่ใช่คำตอบที่เป็นสูตรสำเร็จ จึงต้องสร้างความแข็งแกร่งจากภายใน ฟื้นฟูสภาพสถานที่ท่องเที่ยว รณรงค์ไทยเที่ยวไทย ใช้นวัตกรรมเพิ่มมูลค่าผลผลิตเกษตรกร เชื่อมต่อมายังอุตสาหกรรมท่องเที่ยว ให้ทั้งระบบขับเคลื่อนไปได้พร้อมกัน จะทำอย่างนั้นได้ ต้องมีแผนที่ชัดเจน และเงินทุนเสริมสภาพคล่อง จึงอยากเห็นยุทธศาสตร์ที่ชัดเจนในการฟื้นตัวได้ด้วยลำแข้งมากกว่าการฝากลมหายใจไว้กับต่างชาติ อย่าสร้างกระแสเปิดประเทศ มาหลอกตัวเอง เพราะจะทำให้แก้ปัญหาไม่ถูก

จุดที่สำคัญคือความปลอดภัยของคนในชาติต้องมีหลักประกัน รัฐบาลควรมีคำอธิบายถึงวัคซีนที่เพิ่งสั่งซื้อไปว่า เป็นวัคซีนที่ผลิตสำหรับสู้เดลตา ไม่ใช่รุ่นที่จะต่อกรกับการกลายพันธุ์ชนิดใหม่ที่กำลังเกิดขึ้น ไม่ต้องรอน้ำบ่อหน้า รณรงค์ให้ฉีดวัคซีนทันที ให้ทั่วถึง ครอบคลุมโดยเร็วที่สุด เพราะในขณะนี้จากตัวเลขการฉีดวัคซีน ดูเหมือนจะหลุดเป้าที่กำหนด 5 ธันวาคมฉีดวัคซีนได้ 100 ล้านโดสไปแล้ว