ป.ป.ช. เตรียมถกคำร้องฝ่ายค้าน เอาผิด "บิ๊กตู่" ออกประกาศ ฉ. 29 ขัดรธน

11 ส.ค. 2564 | 08:09 น.

โฆษก ป.ป.ช. เตรียมพิจารณาคำร้องพรรคร่วมฝ่ายค้าน ยื่นดำเนินคดี "นายกฯ" ปมออกประกาศฉบับที่ 29 ปิดปากสื่อ ขัดรัฐธรรมนูญ

วันที่ 11 ส.ค.64 นายนิวัติไชย เกษมมงคล รองเลขาธิการคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ในฐานะโฆษกป.ป.ช. ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีพรรคร่วมฝ่ายค้านยื่นเรื่องต่อ ป.ป.ช. ขอให้ดำเนินการไต่สวนข้อเท็จจริง และดำเนินคดีกับ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและ รมว.กลาโหม จงใจใช้อำนาจหน้าที่ขัดรัฐธรรมนูญ ออกข้อกำหนดฉบับที่ 29 เพื่อจำกัดเสรีภาพของสื่อและการเผยแพร่ข้อมูลข่าวสาร ว่า เมื่อมีผู้ยื่นมาแล้วทางป.ป.ช. จะดำเนินการตรวจสอบคำร้องว่าเข้าองค์ประกอบอยู่ในหน้าที่และอำนาจของป.ป.ช.หรือไม่ 

 

เมื่อตรวจสอบคำร้องเสร็จจะส่งเรื่องต่อไปยังสำนักที่เกี่ยวข้อง คือสำนักไต่สวนทุจริตภาคการเมืองและองค์กรตามรัฐธรรมนูญ ที่มี น.ส.สุภา ปิยะจิตติ กรรมการป.ป.ช. เป็นผู้กำกับดูแลสำนักดังกล่าว โดยจะพิจารณาว่ามีข้อเท็จจริงอย่างไรและคงต้องขอเอกสารหลักฐานต่างๆที่เกี่ยวข้องมา ทั้งนี้ หากพิจารณาแล้วเบื้องต้นเห็นว่าไม่มีมูลกล่าวหาก็จะไม่รับพิจารณา แต่หากข้อกล่าวหานั้นมีมูลจะเสนอคณะกรรมการป.ป.ช.ไต่สวนต่อไป ซึ่งเป็นไปตามขั้นตอนของข้อกฎหมาย โดยตามระเบียบกรอบระยะเวลาการทำงานจะอยู่ประมาณ 1-2 ปี

ผู้สื่อข่าวถามว่าพล.อ.ประยุทธ์ ได้ลงนามยกเลิก ข้อกำหนดฉบับที่ 29 ซึ่งได้ประกาศในราชกิจจานุเบกษาแล้วนั้นจะต้อง นำมาเป็นข้อมูล พยานหลักฐาน ในการพิจารณาด้วยหรือไม่ นายนิวัติไชย กล่าวว่า ต้องนำมาดูทั้งหมดถึงเจตนา
 


ทั้งนี้ เมื่อวันที่ 10 ส.ค. ที่ผ่านมา  นายสุทิน คลังแสง ประธานวิปพรรคร่วมฝ่ายค้าน นำพรรคร่วมฝ่ายค้าน เข้ายื่นหนังสือต่อคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ขอให้ดำเนินการไต่สวนข้อเท็จจริง และดำเนินคดีกับ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรมว. กลาโหม จงใจใช้อำนาจหน้าที่ขัดรัฐธรรมนูญ กรณีออกประกาศฉบับที่ 29 ปิดกั้นการนำเสนอข่าวสาร เห็นว่า การกระทำของนายกรัฐมนตรีและรัฐบาล ปรากฏความผิด สิทธิบุคคล ในเรื่องเสรีภาพในข้อมูลข่าวสารตามมาตรา 36 ของรัฐธรรมนูญ พ.ร.บ.ปราบปรามทุจริตฯ มาตรา 172 เจ้าพนักงานปฏิบัติ หรือละละเว้นปฏิบัติโดยทุจริตซึ่งตรงนี้เราคิดว่า เข้าข้อกฎหมาย และผิดต่อกฎหมายอาญามาตรา 157 เป็นเจ้าหน้าที่ปฏิบัติหรือละเว้นปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ ให้บุคคลเสียหาย