วันที่ 9 ก.ย. 63 เวลา 10.00 น. มีการประชุมสภาผู้แทนราษฎร ที่มีนายชวน หลีกภัย ประธานสภาฯ เป็นประธานการประชุม เพื่อพิจารณาญัตติขอเปิดอภิปรายทั่วไปเพื่อซักถามข้อเท็จจริงหรือเสนอแนะปัญหาาต่อคณะรัฐมนตรี (ครม.) ในเรื่องวิกฤตทางทางาเศรษฐกิจและวิกฤตทางการเมือง โดยไม่ลงมติ ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 152 ได้เริ่มขึ้น
โดยมีรัฐมนตรี นำโดย พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เข้าร่วมประชุมพร้อมกับรัฐมนตรี อาทิ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายก, พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย, นายสันติ พร้อมพัฒน์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง รักษาการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง, นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกฯ และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขนายสมศักดิ์ เทพสุทิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม, นายอนุชา นาคาศัย รัฐมนตรีประจำสำนักนายกฯ, นายเอนก เหล่าธรรมทัศน์ รัฐมนตรีกระทรวงอุดมศึกษา. วิจัยและนวัตกรรม
ก่อนเริ่มการประชุมเวลา 09.05 น. พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรมว.กลาโหม เดินทางถึงอาคารรัฐสภา เพื่อร่วมประชุมสภาผู้แทนราษฎรในการอภิปรายทั่วไปแบบไม่ลงมติ ตามมาตรา 152 โดยนายกรัฐมนตรี พยักหน้าตอบรับว่า พร้อม เมื่อผู้สื่อข่าวถามว่า มีความพร้อมในการตอบข้ออภิปรายของฝ่ายค้านในวันนี้หรือไม่ จากนั้น พล.อ.ประยุทธ์ได้ขึ้นลิฟท์ไปร่วมประชุม พร้อมด้วยนายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกฯและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข
ขณะที่บรรยากาศในการประชุม เปิดฉากของฝ่ายค้าน โดย น.อ.อนุดิษฐ์ นาครทรรพ ส.ส.กทม.พรรคเพื่อไทย ฐานะผู้นำเสนอญัตติ นำอภิปรายต่อที่ประชุมถึงวิกฤตทางการเมืองซึ่งมีเยาวชนและนักเคลื่อนไหวช่วงที่พล.อ.ประยุทธ์ เป็นนายกฯ และเชื่อว่าจะได้รับการขนานามว่าเป็นนายกฯ ที่ทำให้มีม็อบก่อตัวมากที่สุด ทั้งนี้ขอให้ยกเลิกหมาจับเยาวชนนักเคลื่อนไหวทั่วประเทศ รวมถึงยุติการคุกคามการเคลื่อนไหว การปิดกั้นการแสดงความเห็น เปลี่ยนเป็นการคุ้มครองและรับฟัง
อย่างไรก็ตามในปัญหาในประเทศที่เกิดขึ้นสร้างความกังวล ทั้งด้านเศรษฐกิจนั้น ซึ่งรัฐบาลใช้การกู้ยืมเงินจำนวนมาก เป็นความเสี่ยงที่ทำให้เกิดภาวะล้มละลาย และความสูญเสียศักยภาพทางเศรษฐกิจที่รัฐบาลพลเรือนวางแผนไว้นั้นหายไปเพราะการยึดอำนาจ และทำให้ประเทศไทยตกอยู่ในภาวะลำบาก นอกจากนั้นปัญหาด้านเศรษฐกิจมีผลสืบเนื่องจากการไม่เคารพสิทธิพื้นฐานประชาชน และเสรีภาพ
น.อ.อนุดิษฐ์ อภิปราย ด้วยว่า ขีดความสามารถของประเทศด้านการลงทุน ต่อความต้องการของโลก อยู่ที่การจัดสรรเงินและการลงทุนภาครัฐ รัฐบาลต้องคำนึงถึง และคำนึงถึงการบริหารงานที่เน้นเป้าหมายนำกระบวนการ ซึ่งต่างจากผู้นำของทหารที่ใช้กระบวนการนำเป้าหมาย โดยมีตัวอย่างคือ การระบาดโควิด-19 นายกฯใช้กระบวนการส่วนตัวคือ กู้ และกู้ วันนี้หากกำหนดยุทธศาสตร์ต้องมีเป้าหมายชัดเจน หากอะไรที่ไม่ตอบสนองยุทธศาสตร์ต้องยกเลิก เช่น การเข้าร่วม CPTPP เป็นต้น
"ผมมองว่ายุทธศาสตร์ที่ไม่ตอบโจทย์ทำให้เกิดปัญหาด้านการจัดงบประมาณเพื่อแก้ปัญหา ดังนั้นผมมีข้อเสนอแนะ คือ ลดรายจ่ายประจำ ลดจำนวนข้าราชการประจำที่เกินความเหมาะสม เพื่อนำเงินไปลงทุนสิ่งที่มีคุณภาพ กำหนดเป้าหมายประเทศสร้างฐานการผลิตใหม่ตอบสนองความต้องการของโลกตามศักยภาพของประเทศ ต้องเปลี่ยนวิธีงบประมาณ โดยกำหนดเป้าหมาย นำกระบวนการ และเรื่องสำคัญสุดท้ายคือ เคารพสิทธิเสรีภาพและอำนาจของประชาชน เพราะหากประเทศเป็นประชาธิปไตย นักลงทุนจะให้ความเชื่อมั่น ต้องหยุดการคุกคาม และทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่” น.อ.อนุดิษฐ์ อภิปราย
น.อ.อนุดิษฐ์ อภิปรายด้วยว่าการบริหารประเทศของรัฐบาลทำให้ประเทศจมกองหนี้ คนส่วนใหญ่เดือดร้อน มีปัญหาเศรษฐกิจ โดยหลายปัญหาเกินเยียวยา โดยตนมีข้อเสนอสุดท้ายต่อรัฐบาล ถึงนายกฯ ว่า หากต้องการช่วยเหลือประเทศไทยอย่างแท้จริง คือ การลาออก ตามเสียงเรียกร้องของคนไทยทั้งประเทศ
ทั้งนี้ในการอภิปรายช่วงหนึ่ง น.อ.อนุดิษฐ์ ขออนุญาตต่อที่ประชุม เพื่อชู3 นิ้วกลางที่ประชุมให้คำมั่นสัญญาและปฏิญาณตนต่อหน้าคนไทยทั้งประเทศ ว่า ขอคืนอำนาจอธิปไตยให้ประชาชน ใช้รัฐสภาแก้ไขรัฐธรรมนูญ เพื่อหาทางออกประเทศ ตามข้อเรียกร้องของประชาชน พร้อมขอให้เจ้าหน้าที่รัฐ ยุติความรุนแรง หยุดคุกคาม และหยุดหมายเรียก รวมถึงต้องยุติรัฐธรรมนูญเผด็จการ โดยตั้งสภาร่างรัฐธรรมนูญ (ส.ส.ร.) คืนอำนาจให้ประชาชน
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
จับตาประชุมสภาอภิปรายรัฐบาลวันนี้ ฝ่ายค้านถล่มปมศก.-การเมือง
"เพื่อไทย"ยื่นญัตติแก้รัฐธรรมนูญ
ครม. คลอด พ.ร.บ. การออกเสียงประชามติ รับแก้รัฐธรรมนูญ