"24 มิถุนายน" เปลี่ยนแปลงการปกครอง ปชต.ไทย ยังไปไม่ถึงจุดที่อยากเห็น

24 มิ.ย. 2563 | 06:25 น.

24 มิถุนายน 2475 วันเปลี่ยนแปลงการปกครอง ครบ 88 ปี นักวิชาการ ชี้ ปชต.ไทยยังไปไม่ถึงจุดที่ทุกคนอยากเห็น

24 มิถุนายน 2475 เป็นวันการเปลี่ยนแปลงการปกครองของไทย วันที่คณะราษฎรทำการปฏิวัติเปลี่ยนแปลงการปกครองจากระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ เป็น ระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข จุดเปลี่ยนหน้าประวัติศาสตร์ของไทย วันที่ราชอาณาจักรสยามเปลี่ยนรูปแบบการปกครองจากระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ เป็น ราชาธิปไตย ภายใต้รัฐธรรมนูญ และเปลี่ยนรูปแบบการปกครองเป็นระบอบประชาธิปไตยแบบรัฐสภา

24 มิถุนายน 2563 ครบรอบ 88 ปีของการเปลี่ยนแปลงการปกครองของไทย พล.อ.เอกชัย ศรีวิลาศ ผู้อำนวยการสำนักสันติวิธีและธรรมาภิบาล สถาบันพระปกเกล้า และอดีตผู้ทรงคุณวุฒิ ในคณะกรรมการบริหารราชการแผ่นดินตามกรอบการปฏิรูปประเทศ ยุทธศาสตร์ชาติ และการสร้างความสามัคคีปรองดอง (ป.ย.ป.) สะท้อนความเห็นเกี่ยวกับพัฒนาการระบอบประชาธิปไตยของไทยว่า

ตั้งแต่เปลี่ยนแปลงการปกครองมาถึงวันนี้ตั้งแต่ปี 2475 พัฒนาการทางการเมืองของเรานั้นยังไม่ไปถึงจุดที่เราฝันอยากให้เป็นอย่างที่เห็น แต่ก็ดีกว่าอดีตที่ผ่านมาเยอะ เริ่มเข้ารูปเข้ารอยมากยิ่งขึ้น เพียงแต่ว่าเป็นช่วงของการเปลี่ยนผ่าน จากสถานการณ์การเมืองที่มีความขัดแย้งไล่มาปี 2535 ถึงปี 2549 เกิดการปฏิวัติ จนถึงปี 2554 ก็เกิดปัญหาทางการเมืองบนท้องถนน และมาอีกครั้งในปี 2557 ที่มีการรัฐประหาร และพยายามให้ไปสู่ระบบให้มีการเลือกตั้งแต่ก็เดินไปไม่ถึงจุดนั้นดี

อย่างไรก็ดี เห็นว่าเวลาที่มีความขัดแย้งเกิดขึ้นหลังจากปี 2557 เป็นต้นมา แม้ว่าจะมีการขัดแย้งกันอยู่แต่ไม่มีการใช้ความรุนแรงเหมือนอดีตที่ผ่านมา และเริ่มมีสัญญาณว่าน่าจะมีการทำเรื่องปรองดองเกิดขึ้นเพื่อให้ก้าวไปสู่โหมดของการอยู่ร่วมกัน ได้ซึ่งช่วงเวลาที่ผ่านมานั้นกลุ่มขัดแย้งต่างๆก็มีการมานั่งคุยกันปรึกษาหารือเพื่อหาทางออกอยู่แล้วเพียงแต่ว่าการแก้ปัญหาเรื่องนี้ต้องใช้ระบบรัฐสภาเพราะมีพรรคการเมืองหลายพรรคและพรรคการเมืองหลายพรรคที่ขัดแย้งกันก็อยู่ในสภานี้

“ช่วงนี้เป็นช่วงเวลาการเปลี่ยนผ่านที่ไม่ใช่เฉพาะเรื่องของการเลือกตั้งแต่เป็นการเปลี่ยนผ่านแม้แต่ตัวนักการเมืองที่มีการโยกย้ายพรรคตามสิ่งที่ตัวเองคาดหวังว่า ตัวเองน่าจะมีบทบาทมากกว่าที่จะอยู่ในพรรคเดิม เชื่อแน่ว่า การเลือกตั้งที่จะมีขึ้นใหม่ ในครั้งต่อไปก็จะมีการเปลี่ยนแปลงทั้งตัวส.ส.ที่อยู่ในสภา ย้ายไปอยู่กับพรรคที่ตัวเองมุ่งหวังและก็จะมีส.ส.ที่แสดงบทบาท ในช่วงเวลาที่ผ่านมาไม่ถูกตาต้องใจประชาชน จะต้องหลุดจากวงโคจรตรงนี้ไป และจะมีนักการเมืองรุ่นใหม่ขึ้นมาแทนที่ นักการเมืองน้ำเน่า นักการเมืองที่มีความคิดแบบเก่าจะหายไป และจะเกิดพรรคใหม่ขึ้นมาอีกในอนาคต จะเป็นเทรนด์ใหม่ที่จะได้เห็นกัน ส.ส.จะไม่อยู่พรรคเดิมแล้ว วันนี้เราได้เห็นพรรคประชาธิปัตย์ พรรคเพื่อไทย ที่เริ่มร่อยหรอลงไปทุกที รูปแบบการเมืองเก่าๆจะอยู่ต่อไปไม่ได้แล้ว มันจะสูญหายไปจากสังคมที่ไม่ยอมรับ”

ทั้งนี้ หากย้อนกลับไปเราจะเห็นว่า นับตั้งแต่มีความขัดแย้งมาตั้งแต่ปี 2475 ทุกรอบ 20 ปีจะมีความขัดแย้งใหญ่ตลอด แล้วเราจะรอให้ครบ 100 ของประชาธิปไตยเกิดเหตุการณ์เช่นนี้ขึ้นอีกโดยไม่แก้ไขอะไรหรือ จะใช้รูปแบบเดิมในการแก้ไขปัญหาประเทศไทยจะอยู่ได้อย่างไร ถึงเวลาที่ต้องมุมมองเปลี่ยนความคิดกันใหม่ในการแก้ปัญหาทางการเมืองของประเทศไทยจะใช้รูปแบบเดิมไม่ได้แล้ว

นี่คือจุดเริ่มต้นของการปรองดองที่กำลังพูดถึงกันอยู่ การเมืองของเราต้องมองถึงเรื่องของประเทศชาติเป็นจุดร่วมไม่เช่นนั้นประเทศไทยก็ไม่ไปไหน มันก็จะเดินกลับมารูปแบบเดิม เชื่อว่า การเมืองไทยวันนี้กำลังเดินไปสู่การเมืองแบบ New Normal เห็นได้จากการอภิปรายในสภาที่ไม่เหมือนเดิมแล้ว ส.ส.ที่อภิปรายน้ำเน่าแบบเดิมไม่มีพื้นที่ทางการเมืองให้ยืนอีกแล้ว จะกลายเป็นของคนรุ่นใหม่ที่จะทำให้ชีวิตการเมืองไทยสดใสขึ้น

อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง 

24 มิถุนายน 88 ปีเปลี่ยนแปลงการปกครอง ปชต.ไทยไม่เดินเป็นเส้นตรง

"24 มิถุนายน" บิ๊กตู่ สั่งคุ้มกันเข้ม 24 ชม.ทุกหน่วยงาน

“24 มิถุนายน” กลุ่มฟื้นฟูฯจัดกิจกรรมย้อน88ปีคณะราษฎร

อีกประการที่สำคัญ  คือ ต้องมีพื้นที่ให้ประชาชนได้แสดงออกทางการเมือง ได้แสดงออกทางความคิด คิดต่างก็อยู่ร่วมกันได้ มีวัตถุประสงค์ร่วมกัน เชื่อมั่นว่าเราอยู่ร่วมกันได้ซึ่งก็เกิดขึ้นแล้วในหลายพื้นที่ในประเทศไทยที่หันกลับมาทำงานร่วมกันโดยทิ้งเรื่องของการเมืองไว้ข้างหลัง ไม่เอาเรื่องสี เรื่องฝ่ายมาพูดกัน แต่เอาเรื่องของบ้านเมืองที่จะช่วยกันพัฒนามาพูดกัน พื้นที่ลักษณะนี้ต้องมีให้ประชาชนมากขึ้น วันนี้จุดอ่อนของเรายังมีจำกัดอยู่ในเรื่องนี้  งานปรองดองที่มีอยู่ล้วนแล้วแต่อยู่ในเอกสารทั้งหมดไม่เคยนำมาสู่การปฏิบัติ ถามว่าช้าไปหรือไม่ ไม่ช้า แต่ต้องเริ่มตั้งแต่วันนี้ ตราบใดที่ยังไม่มีความคิดที่จะนำเรื่องนี้มาทำไม่มีทางที่ประเทศไทยจะเจริญได้ ครบ 100 ปีเราก็ยังคงขัดแย้งกันเช่นนี้อีก หากไม่ทำเราก็ยังคงต้องติดหล่ม ติดหลุมดำเช่นนี้ต่อไป เริ่มได้โดยเริ่มจากที่ตัวเราเองก่อนเปิดรับฟังความคิดเห็นซึ่งกันและกัน

ถ้าให้คะแนนพัฒนาการการเมืองไทยนับตั้งแต่ปี 2475 เป็นต้นมาถึงวันนี้เราอยู่ที่ประมาณ 70 จาก 100 คะแนนเต็ม เราผ่าน 50% มานานแล้ว เราเดินมาที่ 70% ก็ไม่อยากให้เดินกลับที่ 50% เหมือนเดิมซึ่งที่ผ่านมาเราจะเดินกลับไปตลอด วันนี้ทุกภาคส่วนทั้งรัฐบาล นักการเมืองแต่ละพรรค ทั้งภาคองค์กรเอกชน ที่ต้องช่วยกัน ประชาชนเขาคิดกันเองได้ สถานการณ์วันนี้เรื่องโควิด-19 ที่เรารอดกันมาก็เพราะประชาชนช่วยกัน ร่วมมือกัน เราต้องนำจุดแข็งเหล่านี้มาใช้ให้เกิดประโยชน์

เราต้องช่วยกันทำอะไรดีๆทิ้งไว้ให้ลูกหลานเราได้เห็น ได้ชื่นชม ไม่ใช่ทิ้งแต่เรื่องเลวร้ายเอาไว้ให้ลูกหลานเหมือนที่ผ่านมา พล.อ.เอกชัย กล่าวสรุปทิ้งท้าย