svasdssvasds
logo-pwa

เพิ่ม thansettakij

ลงในหน้าจอหลักของคุณ

ติดตั้ง
ปิด
thansettakij

ข้อคิด“จีน”แนะสร้างความมั่นคงด้านอาหาร 

18 เมษายน 2563

เปิดข้อคิดนายกฯจีน ในเวทีอาเซียน+3 แนะสร้างความมั่นคงด้านอาหาร สำรองข้าวสำหรับบริโภคในกรณีเกิดภัยพิบัติฉุกเฉินทางธรรมชาติ  

วันนี้ (18 เม.ย.63) พล.ต.ไชยสิทธิ์ ตันตยกุล ผู้ทรงคุณวุฒิ สำนักงานปลัดกระทรวงกลาโหม และผู้เชี่ยวชาญด้านยุทธศาสตร์และการป้องกันประเทศ ได้รวบรวมข้อมูลและนำเสนอข้อคิดที่นายกรัฐมนตรีจีน  หลี่ เค่อเฉียง กล่าวเน้นในช่วงท้ายของการแถลงต่อที่ประชุมอาเซียนบวกสาม (APT) วาระพิเศษ ว่าด้วยโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19 ) เมื่อวันที่ 14 เม.ย.63 ความว่า ภูมิภาคนี้เป็นหนึ่งในผู้ผลิตธัญพืชรายใหญ่ของโลก และเป็นที่ตั้งของประชากรกว่าหนึ่งในสี่ของโลก และส่วนใหญ่เป็นประเทศกำลังพัฒนา ดังนั้น การสร้างความมั่นคงด้านอาหารจึงเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่ง โดยต้องใช้ประโยชน์อย่างเต็มที่จากองค์กรสำรองข้าวฉุกเฉินของอาเซียนบวกสาม (ASEAN Plus Three Emergency Rice Reserve: APTERR) เพื่อป้องกันวิกฤติด้านอาหาร ซึ่งมีประเด็นที่น่าสนใจดังนี้

 ข้อคิด“จีน”แนะสร้างความมั่นคงด้านอาหาร 

1. APTERR เป็นองค์กรที่เกิดขึ้นจากความร่วมมือของ ประเทศ ประกอบไปด้วยประเทศสมาชิกอาเซียน 10 ประเทศ ร่วมกับจีน ญี่ปุ่น และเกาหลีใต้ เพื่อสำรองข้าวสำหรับบริโภคในกรณีเกิดภัยพิบัติฉุกเฉินทางธรรมชาติ ซึ่งได้เริ่มดำเนินงานเมื่อวันที่ 7 ต.ค.54โดยประเทศไทยได้รับความไว้วางใจให้จัดตั้งสำนักเลขานุการองค์กรสำรองข้าวฉุกเฉินของอาเซียนบวกสาม (APTERR) ขึ้นในประเทศไทย เพื่อเป็นหน่วยงานกลางทำหน้าที่ประสานงานในการดำเนินกิจกรรมต่างๆ ทั้งนี้ ความตกลง APTERR เป็นเอกสารความตกลงที่มีผลตามกฎหมาย (Legally Binding Document) และสอดคล้องกับกฎระเบียบของ WTO และข้อตกลงระหว่างประเทศอื่นที่เกี่ยวข้อง

 ข้อคิด“จีน”แนะสร้างความมั่นคงด้านอาหาร 

2.ในการประชุมคณะมนตรีองค์กรสำรองข้าวฉุกเฉินของอาเซียนบวกสาม ครั้งที่ 8 ระหว่างวันที่ 17 – 19 ก.พ.63 ณ เมืองพุกาม สาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมา ผู้แทนคณะฯ ของไทย นายระพีภัทร์ จันทรศรีวงศ์ เลขาธิการสำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร (สศก.) กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ได้เสนอให้ APTERR พิจารณาเพิ่มปริมาณข้าวสำรองในประเทศสมาชิกอาเซียนบวกสามในรูปสัญญา (Earmarked Stock) ให้สอดคล้องกับสถานการณ์การระบาดของโรคในคน พืช และสัตว์ ที่ทวีความรุนแรงเพิ่มมากขึ้น เช่น การติดเชื้อไวรัสโคโรนา (Covid-19) การระบาดของหนอนกระทู้ข้าวโพดลายจุด (Fall Army worm) ตั๊กแตนทะเลทราย (Desert Locust) และการระบาดของโรคอหิวาต์อัฟริกาในสุกร (African Swine Fever) รวมถึงภัยธรรมชาติที่เกิดขึ้นจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ เช่น ภัยแล้ง พายุไต้ฝุ่น เป็นต้น  

 ข้อคิด“จีน”แนะสร้างความมั่นคงด้านอาหาร 

3. ข้อสังเกตจากกรณีศึกษาการสร้างหลักประกันความมั่นคงทางธัญญาหารของจีน 
       3.1 การที่ธัญญาหารในคลังของจีนมีปริมาณเพียงพอ จึงทำให้ราคาธัญญาหารในตลาดจีนมีเสถียรภาพ ซึ่งสอดรับกับแนวคิดของประธานาธิบดี สี จิ้นผิง ในฐานะเลขาธิการใหญ่คณะกรรมการกลาง พรรคคอมมิวนิสต์จีนที่กล่าวเน้นว่า “ชามข้าวของคนจีนจะต้องถือไว้อย่างมั่นคงด้วยมือของตัวเอง จึงต้องให้ความสำคัญอย่างมากในการยกระดับการผลิตข้าวและธัญพืชที่สำคัญ ให้มีความปลอดภัยและสามารถป้อนความต้องการบริโภคภายในประเทศได้ โดยไม่ได้รับผลกระทบจากตลาดต่างประเทศ”  ซึ่งข้อมูลของกระทรวงเกษตรและกิจการชนบทจีน พบว่า เมื่อปี 2019 (พ.ศ.2562) มีปริมาณการผลิตธัญญาหารของจีนสูงถึง 664 ล้านตัน และถือเป็นสถิติใหม่ในประวัติศาสตร์ 

นอกจากนี้ จีนสามารถเก็บเกี่ยวผลผลิตได้อย่างสมบูรณ์ติดต่อกันมาเป็นเวลา 16  ปีแล้ว จึงทำให้ปริมาณสะสมธัญญาหารในคลังของจีนมีเพียงพอ 

 ข้อคิด“จีน”แนะสร้างความมั่นคงด้านอาหาร 
       3.2 จีนได้กำหนดเป้าหมายในการสร้างความมั่นคงทางธัญญาหาร ตามแผนยุทธศาสตร์การฟื้นฟูชนบทของจีน (ปี 2018 – 2022 หรือ พ.ศ.2561-2565) โดยภายในปี พ.ศ.2565 จีนจะมีความพร้อมในระบบข้อมูลเพื่อสร้างแผนที่พื้นที่เพาะปลูก การปรับปรุงข้อมูลสารสนเทศและการควบคุมการเกษตรแบบแม่นยำ โดยเฉพาะการสร้างเขตพื้นที่เพาะปลูกข้าวและธัญพืช และเขตคุ้มครองการผลิตสินค้าเกษตรที่สำคัญ ซึ่งเป็นโครงสร้างพื้นฐานที่จะรองรับการพัฒนาศักยภาพในการผลิต โดยมีระบบการบริหารจัดการที่พร้อม และเป็นการทำเกษตรแบบสมัยใหม่

3.3 แนวทางการดำเนินการเพื่อให้บรรลุเป้าหมายดังกล่าว
            3.3.1 กำหนดพื้นที่ 2 เขต คือ เขตพื้นที่เพาะปลูกข้าวและธัญพืช (เป็นพื้นที่ 375 ล้านไร่) และเขตคุ้มครองการผลิตสินค้าเกษตรที่สำคัญ (ถั่วเหลือง ฝ้าย เมล็ด rapeseed อ้อย และยางพารา เป็นพื้นที่ 99.17 ล้านไร่) โดยจะเป็นพื้นที่ทางการเกษตรถาวรระยะยาวสำหรับการเพาะปลูกพืชที่กำหนด และไม่สามารถนำไปใช้ในการเกษตรด้านอื่นได้ เพื่อมุ่งไปสู่การพัฒนาอย่างยั่งยืน โดยจะส่งเสริมให้เป็นการทำการเกษตรแบบมาตรฐานสูง สร้างและพัฒนาสาธารณูปโภคด้านน้ำที่ใช้ในการเกษตรและการทำระบบให้เข้าสู่แปลงโดยชลประทานประหยัดน้ำ การใช้เมล็ดพันธุ์ที่ดีและให้ผลผลิตสูง ยกระดับให้เป็นการทำการเกษตรโดยใช้เครื่องจักรและเทคโนโลยี ใช้ระบบอินเทอร์เน็ต และ cloud รวมถึงระบบข้อมูล big data เข้ามาร่วมด้วย
 

          3.3.2 สร้างการรับรู้ด้านนโยบายเพื่อให้เกษตรกรและผู้ประกอบการเข้าร่วม โดยรัฐบาลกลางและท้องถิ่นมีนโยบายในการส่งเสริม สนับสนุน และให้หลักประกันในการใช้พื้นที่ในการพัฒนาการเกษตรเพื่อสร้างเขตพื้นที่ผลิตข้าวและธัญพืช และพืชเกษตรที่สำคัญในระยะยาว 

เช่น การสนับสนุนก่อสร้างสาธารณูปโภคพื้นฐานเพื่อใช้ในการเกษตรจนถึงระดับแปลง การหาแหล่งเงินกู้ยืมให้กับเกษตรกร/ผู้ประกอบการที่ร่วมโครงการ และการประกันความเสียหายในการเพาะปลูก เป็นต้น 
             3.3.3. ให้รัฐบาลระดับมณฑลทำหน้าที่ตรวจสอบข้อมูลการเลือกพื้นที่ 2 เขต ที่นำเสนอจากเมืองและอำเภอต่าง ๆ ในมณฑล แล้วจึงส่งข้อมูลให้กับกระทรวงเกษตรและกิจการชนบท คณะกรรมการพัฒนาและปฏิรูปแห่งชาติ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติ และสำเนาให้กับกระทรวงการคลัง กระทรวงที่พักอาศัยและการพัฒนาเขตเมือง-ชนบท และกระทรวงทรัพยากรน้ำ 

โดยกระทรวงเกษตรและกิจการชนบท คณะกรรมการพัฒนาและปฏิรูปแห่งชาติจะเป็นผู้ชี้แนะการสร้างแผนที่อิเล็กทรอนิกส์และฐานข้อมูล เพื่อให้สามารถรวมเป็นภาพใหญ่ของทั้งประเทศ และรายงานผลการดำเนินงานการจัดสร้างเขตพื้นที่ให้กับคณะรัฐมนตรีจีนทราบ 

บทสรุป นายกรัฐมนตรีจีนเห็นความสำคัญของการสร้างความมั่นคงด้านอาหาร โดยเสนอให้ใช้ประโยชน์จากองค์กรสำรองข้าวฉุกเฉินของอาเซียนบวกสาม (ASEAN Plus Three Emergency Rice Reserve: APTERR) ซึ่งจะเป็นกลไกที่สำคัญต่อการสำรองข้าวสำหรับบริโภคในกรณีเกิดภัยพิบัติฉุกเฉินทางธรรมชาติ