ศาลฎีการพิพากษาแก้รอลงอาญา "ลูกชายสนธิ" จิตตนาถ ลิ้มทองกุล กับพวกคนละ 3 ปีทำกิจการวิทยุโทรทัศน์ โดยไม่ได้รับอนุญาต แต่เพิ่มโทษปรับคนละ 6 หมื่น ด้าน“สนธิ” ขึ้นศาลให้กำลังใจลูกชาย
เมื่อเวลา 10.00 น.วันที่ 5 กันยายน 2562 ที่ห้องพิจารณา 903 ศาลอาญา ถนนรัชดาภิเษก ศาลได้อ่านคำพิพากษาศาลฎีกาคดีหมายเลขดำ อ.1870/2558 ที่พนักงานอัยการพิเศษฝ่ายคดีอาญา 7 เป็นโจทก์ยื่นฟ้อง บริษัท ไทยเดย์ ด็อท คอม จำกัด, นายจิตตนาถ ลิ้มทองกุล บุตรชายนายสนธิ ลิ้มทองกุล ผู้ก่อตั้งนสพ.ผู้จัดการรายวัน และนายพชร สมุทวณิช ผู้บริหารบริษัทฯ เป็นจำเลยที่ 1-3 ในความผิดฐานร่วมกันส่งวิทยุกระจายเสียงหรือวิทยุโทรทัศน์เพื่อให้บริการสาธารณะหรือชุมชนโดยไม่ได้รับอนุญาต ประกอบกิจการกระจายเสียงหรือกิจการโทรทัศน์โดยไม่ได้รับอนุญาต
อัยการโจทก์ฟ้องระบุความผิดสรุปว่า เมื่อระหว่างเดือน ก.ย.2548-3 ก.พ.2549 จำเลยทั้งสามร่วมกันประกอบกิจการกระจายเสียงหรือกิจการโทรทัศน์ โดยร่วมกันทำการบันทึกรายการภาพและเสียงหรือทำการถ่ายทอดสดรายการตามที่มีกำหนดไว้ในผังรายการแล้วส่งข้อมูลสัญญาณภาพและเสียงผ่านทางสายเคเบิลใยแก้ว ซึ่งเช่าจากบริษัท กสท.โทรคมนาคม จำกัด (มหาชน) เพื่อส่งต่อไปที่เกาะฮ่องกง ประเทศจีน จากนั้นมีการส่งสัญญาณภาพและเสียงต่อไปยังดาวเทียม NSS6 แล้วดาวเทียมส่งข้อมูลสัญญาณภาพและเสียงกลับมาที่ประเทศไทยทางสถานีวิทยุโทรทัศน์เอเอสทีวี ช่องนิวส์วัน ซึ่งบุคคลทั่วไปสามารถซื้อจานรับสัญญาณดาวเทียมเพื่อดูรายการโดยไม่ต้องเสียค่าใช้จ่าย อันเป็นการส่งวิทยุกระจายเสียงหรือวิทยุโทรทัศน์โดยไม่ได้รับอนุญาต
คดีนี้เมื่อวันที่ 15 ส.ค.2559 ศาลชั้นต้นพิพากษา เห็นว่า พยานโจทก์ที่นำมาเบิกความ รวม 4 ปาก ไม่มีพยานคนใดเบิกความให้ศาลเห็นว่าการประกอบกิจการกระจายเสียงหรือกิจการโทรทัศน์โดยการส่งภาพและเสียง กระทำความผิดตาม พ.ร.บ.วิทยุกระจายเสียงและวิทยุโทรทัศน์ พ.ศ.2498 พ.ร.บ.วิทยุกระจายเสียงและวิทยุโทรทัศน์ (ฉบับที่ 4) พ.ศ. 2530 และ พ.ร.บ.การประกอบกิจการกระจายเสียงและกิจการโทรทัศน์ พ.ศ. 2551 พิพากษายกฟ้อง
ศาลอุทธรณ์มีคำพิพากษาเมื่อวันที่ 18 ก.ค.2560 ว่า คดีนี้โจทก์นำพยานมาเบิกความในชั้นศาลรวม 4 ปาก ไม่มีพยานคนใดเบิกความให้เห็นว่า การประกอบกิจการกระจายเสียงหรือกิจการโทรทัศน์โดยการส่งภาพและเสียงของจำเลยทั้งสามในขั้นตอนใดที่จะถือได้ว่า จำเลยทั้งสามได้กระทำผิดตาม พ.ร.บ.วิทยุกระจายเสียงและวิทยุโทรทัศน์ พ.ศ.2498 แต่โจทก์มีคำให้การในชั้นสอบสวนของนายอานนท์ ลอยกุลนันท์ เจ้าหน้าที่กรมประชาสัมพันธ์ สรุปได้ความว่า สถานีโทรทัศน์เอเอสทีวี ของจำเลยที่ 1 มีการส่งสัญญาณภาพและเสียงผ่านสายเคเบิลใยแก้ว ซึ่งจำเลยที่ 1 เช่าสายเคเบิล จากบริษัท กสท.และเป็นการส่งข้อมูลสัญญาณภาพและเสียงในประเทศไทย จากนั้นส่งข้อมูลดังกล่าวไปยังสายเคเบิลใต้น้ำจากประเทศไทย ไปที่เขตบริหารพิเศษฮ่องกง สาธารณรัฐประชาชนจีน
จากนั้นส่งสัญญาณภาพและเสียงไปยังดาวเทียม NSS-6 และส่งสัญญาณจากดาวเทียวดังกล่าวกลับมายังประเทศไทย แม้คำให้การในชั้นสอบสวนดังกล่าวเป็นเพียงพยานบอกเล่า ซึ่งห้ามมิให้ศาลรับฟัง แต่ก็มิได้ห้ามโดยเด็ดขาด และเหตุที่โจทก์ไม่สามารถนำตัวเจ้าหน้าที่กรมประชาสัมพันธ์ ดังกล่าวมาเบิกความได้ เป็นเพราะอาการป่วยต้องให้ออกซิเจน อันเป็นเหตุจำเป็น เข้าข้อยกเว้นตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาอาญา มาตรา 226/3 (2) พยานหลักฐานโจทก์จึงฟังได้ว่า จำเลยทั้งสามร่วมกันส่งวิทยุโทรทัศน์หรือ ประกอบกิจการโทรทัศน์โดยฝ่าฝืนต่อกฎหมาย อุทธรณ์โจทก์ฟังขึ้น
ศาลอุทธรณ์จึงพิพากษากลับว่า จำเลยทั้งสามมีความผิดตาม พ.ร.บ.วิทยุกระจายเสียงและวิทยุโทรทัศน์ พ.ศ.2495 มาตรา 3,5,17 ประกอบประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83 จำคุกจำเลยที่ 2 และ 3 คนละ 2 ปี และปรับจำเลยที่ 1 เป็นเงิน 90,000 บาท ทางนำสืบของจำเลยทั้งสามเป็นประโยชน์แก่การพิจารณาอยู่บ้าง กรณีมีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้คนละ 1 ใน 3 ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงจำคุกจำเลยที่ 2 และ 3 คนละ 1 ปี 4 เดือน ปรับจำเลยที่ 1 เป็นเงิน 60,000 บาท กับให้ปรับจำเลยทั้งสามเป็นรายวันๆ ละ 2,000 บาท นับตั้งแต่วันที่ 1 ธ.ค. 2548 – 23 ม.ค.2549
ศาลฎีกาตรวจสำนวนประชุมปรึกษากันแล้วเห็นว่า การกระทำของจำเลยที่ 1-3 มีความผิดตาม พ.ร.บ.วิทยุกระจายเสียงและวิทยุโทรทัศน์ พ.ศ.2495 มาตรา 3,5,17 ประกอบประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83 แต่ที่ศาลอุทธรณ์ลงโทษจำคุกจำเลยที่ 2 และ 3 คนละ 2 ปี โดยไม่รอลงอาญานั้นเห็นว่าหนักเกินไป เนื่องจากขณะนั้นก็ยังไม่มีหน่วยงาน กสช.มาทำหน้าที่ออกใบอนุญาต ฎีกาจำเลยบางส่วนฟังขึ้น จึงควรปรับโทษให้เหมาะสม
ศาลฎีกาจึงพิพากษาแก้โดยโทษจำคุกจำเลยที่ 2 และ 3 คนละ 2 ปีให้รอลงอาญาไว้มีกำหนด 3 ปีและปรับจำเลยทั้งสองคนละ 60,000 บาท นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ในวันนี้ (5 ก.ย.62) นายสนธิ ลิ้มทองกุล ซึ่งได้รับการอภัยโทษและปล่อยตัวจากเรือนจำคดีความผิดเกี่ยวกับ พ.ร.บ.หลักทรัพย์ และตลาดหลักทรัพย์ พ.ศ.2535 โดยถูกคุมขังในเรือนจำนาน 3 ปี 1 เดือนดินทางมาให้กำลังใจนายจิตตนาถ บุตรชาย ด้วยสีหน้าสดใส ยิ้มทักทาย กลุ่มจำเลยด้วย แต่ไม่ได้ให้สัมภาษณ์ใดๆ โดยเดินทางกลับจากศาลทันทีเมื่อร่วมให้กำลังใจบุตรชายในการฟังคำพิพากษาฎีกานี้