“ศ.ดร.ไชยันต์”วิพากษ์พรรคการเมืองที่ตั้งขึ้นเพื่อสืบทอดอำนาจของทหาร ไม่เคยประสบความสำเร็จ ชี้เมื่อถึงเวลากองทัพจะดีดตัวออกจากการเชื่อมโยงกับพรรคการเมืองนั้น เชื่อรัฐประหารจะไม่เกิดในเร็วๆ นี้
รายการ “เนชั่นสุดสัปดาห์” กับ 3 บก.ใหญ่ โดย นายสมชาย มีเสน ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร Nation Group นายบากบั่น บุญเลิศ บรรณาธิการอำนวยการ หนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ และ นายวีระศักดิ์ พงษ์อักษร บรรณาธิการบริหาร หนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ ซึ่งออกอากาศเมื่อวันเสาร์ที่ 25 สิงหาคม ทางเนชั่นทีวี ช่อง 22 ได้วิเคราะห์เจาะลึกสถานการณ์ร้อนทางการเมืองช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา
โดยได้สัมภาษณ์พิเศษ ศ.ดร.ไชยันต์ ไชยพร อาจารย์ประจำภาควิชาการปกครอง คณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เกี่ยวกับพัฒนาการการเมืองไทยนับตั้งแต่ปี 2475 พร้อมตั้งข้อสังเกตถึงการรัฐประหารที่ผ่านมาไว้อย่างน่าสนใจ ดังนี้
ความก้าวหน้าของการเมืองไทยนับตั้งแต่ 2475 จนถึงปัจจุบัน ถ้ามองในแง่ที่มีรัฐประหารมันก็ไม่ได้ไปไหน แต่ถ้าเรามองในแง่ความตื่นตัวของประชาชนก็มีมากพอสมควรและก็มีมากขึ้นเรื่อยๆ และคงจะไม่มีวันถอยหลังกลับ เพียงแต่ประชาชนจะตื่นตัวไปทางไหนแค่นั้นเอง
อย่างกรณีปี 2549 เป็นต้นมาจะพบว่า มีประชาชนตื่นตัวทางการเมืองสูงมากทั้งสองฝ่าย ทั้งฝ่ายสนับสนุนหรือฝ่ายที่ต่อต้านรัฐบาลก็ตาม อันนั้นก็เป็นมิติของความก้าวหน้า พัฒนาของการเมือง เพราะถ้าเทียบกับปี 2475 - 2500 ประชาชนไม่ได้มีบทบาทอะไรมากนัก แต่ถ้ามองในแง่รัฐประหารดูเหมือนว่า วนไปวนมาแต่การทำรัฐประหารมันเปลี่ยนเงื่อนไขไปเรื่อยๆ ได้เป็นช่วงๆ การทำรัฐประหารในปัจจุบันจะเป็นสิ่งที่ยากเย็นแสนเข็นเมื่อเทียบกับในอดีต อย่างนี้จะถือเป็นเรื่องของการเปลี่ยนแปลงพัฒนาหรือเปล่า เพราะว่าทหารทำรัฐประหารได้ยากขึ้น
ส่วนกรณีคนที่ทำรัฐประหารแล้วตั้งพรรคการเมืองขึ้นมาเพื่อรองรับตัวเองเพื่อจะกลับมาเป็นนักการเมืองนั้น เมื่อมองย้อนกลับไปในอดีตแล้วอาจจะเรียกว่า “พรรคทหาร” ที่ชัดเจนก็คือ “พรรคเสรีมนังคศิลา” ซึ่งเป็นการกำเนิดพรรคเสรีมนังคศิลานั้น เกิดจากการที่มีพระราชบัญญัติพรรคการเมืองเกิดขึ้นครั้งแรก ในพ.ศ. 2498 ซึ่งก่อนหน้านี้ไม่ได้มี พ.ร.บ.พรรคการเมือง พอมีแล้วก็เลยเกิดการตั้งพรรคการเมืองซึ่งก็ไม่ใช่พรรคเสรีมนังคศิลาพรรคเดียวเท่านั้น
แต่ถามว่า พรรคเสรีมนังคศิลา เป็นพรรคทหารไหม ถ้าเราไปดู กรรมการบริหารพรรค ก็คงต้องตอบว่าใช่ เพราะว่าเต็มไปด้วยทหาร หัวหน้าพรรคก็เป็นจอมพล ป.พิบูลสงคราม แล้วก็ตั้งมาเพื่อวัตถุประสงค์ว่า เมื่อจะเกิดการเลือกตั้งในปี 2500 จะได้มีลักษณะของการที่จะเรียกว่า สืบทอดอำนาจ มันก็อาจจะฟังดูว่าไม่ดีแต่ถ้าจะบอกว่าจะใช้กลไกการเลือกตั้ง ใช้วิธีการแบบประชาธิปไตยเพื่อได้ให้มาซึ่งอำนาจโดยการเรียกว่า ให้ประชาชนเป็นผู้ตัดสินมันก็ฟังดูดี เพราะฉะนั้น พอถึงปี 2500 พรรคเสรีมนังคศิลาก็ลงเลือกตั้งเพื่อหวังว่าบรรดาหัวหน้าพรรค หรือกรรมการบริหารพรรคจะกลับมาเป็นคณะรัฐมนตรี
ประเด็นคือ จอมพล ป. เป็นนายกฯ มายาวนาน ก่อนปี 2500 ไม่ได้เป็นนายกฯมาจากการเลือกตั้งเลย เป็นนายกฯจากการที่สภาผู้แทนราษฎรลงมติให้ จอมพล ป. เป็นนายกฯ โดยที่ไม่จำเป็นต้องเป็น ส.ส. แล้วและเป็นมายาวนานมากก่อนปี 2500 พอถึง 2500 จำเป็นต้องมีการเลือกตั้งแล้ว ในแง่นี้เราจะมองในแง่ลบหรือในแง่บวก ในการที่ทหารเขาถือว่าเขาคงจะไปต่อในแบบที่เป็นนายกฯ โดยไม่ผ่านการเลือกตั้งไม่ได้แล้ว เขาก็ลงมาเลือกตั้ง
แล้วก็พบว่า มีการโกงเลือกตั้ง เกิดการต่อต้านจากนิสิต นักศึกษา ที่น่าสนใจ คือ คนที่มาสนับสนุนหรือเป็นผู้มาให้กำลังใจหรือมาเป็นผู้ที่ให้หลักประกันกับกลุ่มนิสิต นักศึกษา ประชาชนที่ออกมาประท้วงการเลือกตั้งปี 2500 ก็คือ คนที่อยู่ในพรรคเสรีมนังคศิลา นั่นก็คือ จอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ นั่นเอง จอมพลสฤษดิ์ ก็อยู่ในพรรคเสรีมนังคศิลา แต่พอถึงเวลาพอพรรคเสรีมนังคศิลา เกิดเรียกว่า โกงเลือกตั้ง ไม่เป็นที่ยอมรับของประชาชน กรรมการบริหารพรรคที่ชื่อ สฤษดิ์ ธนะรัชต์ ก็ออกมา แตกออกมา
เพราะฉะนั้น “พรรคทหาร” ที่เราจะเรียกได้เต็มปากเต็มคำพรรคแรก คือ พรรคเสรีมนังคศิลา เพราะกำเนิดขึ้นเพื่อจะสืบทอดอำนาจ หรือว่า จะเคารพกติกาประชาธิปไตยมากขึ้น แต่ดันโกงและก็หมดอนาคตของพรรคไปเพียงเท่านั้น หลังจากนั้นเข้าสู่ช่วงที่ผู้ทำรัฐประหาร ก็คือ จอมพลสฤษดิ์ ซึ่งครองอำนาจมายาวนานเสียชีวิตลง
พรรคทหารที่เกิดขึ้นต่อจาก “พรรคเสรีมนังคศิลา” ก็คือ “พรรคสหประชาไทย” ตั้งโดย จอมพลถนอม กิตติขจร หลังจากที่พรรคเสรีมนังคศิลาหมดรูปไปแล้วก็เข้าช่วงที่ไม่มีการเลือกตั้ง มีจอมพลสฤษดิ์เป็นผู้นำ มีการร่างรัฐธรรมนูญอย่างยาวนาน ถึงปี 2511 ก็มีรัฐธรรมนูญออกมา คือ สมัยจอมพลถนอม แล้วก็มีการเลือกตั้งสมัยต้นในปี 2512 จอมพลถนอมตั้ง “พรรคสหประชาไทย” ขึ้นมาซึ่งก็เต็มไปด้วยทหารตำรวจ และก็ชนะการเลือกตั้ง ได้เป็นรัฐบาล จะเรียกว่าเป็นการสืบทอดอำนาจก็ได้อีก จะเรียกว่า เป็นการยอมรับกติกาประชาธิปไตยโดยพยายามตั้งพรรคไปต่อสู้ในวิถีการเลือกตั้งก็ได้อีก อันนี้ก็เป็นสองพรรคการเมืองที่ถูกมองว่าเป็น “พรรคทหาร”
ตอนหนึ่ง ศ.ดร.ไชยันต์ ให้นิยามส่วนตัวของคำว่า “พรรคทหาร” ว่า จะดูว่าการที่พรรคนั้นเต็มไปด้วยทหารหรือพรรคนั้นมีอุดมการณ์สนับสนุนให้ทหารปกครองซึ่งเป็นได้ทั้งสองอย่าง ถ้าดูจากพรรคสามัคคีธรรมซึ่งเป็นพรรคทหารในเครื่องหมายคำพูดที่เกิดขึ้นต่อจากพรรคสหประชาไทย พรรคสามัคคีธรรมจะแตกต่างจากพรรคเสรีมนังคศิลา และแตกต่างจากพรรคสหประชาไทยตรงที่ว่า สมาชิกพรรค กรรมการบริหารพรรคไม่ได้เป็นทหาร มีแต่เลขาธิการพรรคเป็นทหาร
เพราะฉะนั้น สังเกตได้ว่า พรรคสามัคคีธรรมมุ่งสนับสนุนทหารกลุ่มหนึ่งที่ทำรัฐประหารมา คือทหารสมัยที่ทำรัฐประหาร รสช. ปี 2524 ถ้าจะพูดให้มันเจาะจง คือ การทำรัฐประหารโดย จปร.รุ่น 5 เราจะบอกว่า จปร.รุ่น 5 นี่คือ กองทัพมันก็คงไม่เชิง เพราะในกรณีเสรีมนังคศิลา ถึงแม้ว่า กรรมการบริหารพรรคจะเต็มไปด้วยทหาร ตำรวจ แต่ถึงเวลา คำว่า พรรคทหารก็ไม่สามารถอธิบาย เสรีมนังคศิลา ได้ เมื่อจอมพลสฤษดิ์แตกตัวออกมา และกองทัพก็ตามจอมพลสฤษดิ์ออกมา กองทัพไม่ได้อยู่กับพรรคทหาร
กลับมาว่า จะเป็นทหารเยอะหรือเป็นพรรคที่ทหารไม่เยอะ แต่มีคนสำคัญของทหารไปอยู่ในนั้นและสนับสนุนทหาร ทีนี้คำว่า สนับสนุนทหาร หมายความว่าอะไร สนับสนุนผลประโยชน์ของกองทัพ หรือว่า พรรคทหาร คือ พรรคที่ไว้ใจได้ว่า จะสนับสนุนหรือว่า ยึดถือชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ เป็นสำคัญ ก็เป็นเรื่องที่ต้องดูย้อนไปในประวัติศาสตร์ว่า เป็นจริงอย่างนั้นแค่ไหน อย่างไร
สำหรับ “พรรคพลังประชารัฐ” ถ้าจะมองภายใต้กรอบพรรคทหารก็เป็นพรรคทหารที่อ่อน ถ้าเทียบกับ “เสรีมนังคศิลา” กับ “พลังประชารัฐ” ปรากฏว่าพลังประชารัฐไม่ได้มีทหารไปอยู่ในพรรคนั้นเยอะ กรรมการบริหารพรรคก็ไม่ใช่ทหารเยอะ
เรากำลังเข้าใจว่า คนกำหนดนโยบาย คือ ทหาร แต่ถ้าเทียบกับ “พรรคเสรีมนังคศิลา” มันชัดเจนว่าคนคุมก็เปิดตัว เทียบกับ “สหประชาไทย” ก็ชัดเจนว่า “สหประชาไทย” มีความชัดเจนมากกว่า เทียบกับสามัคคีธรรม ผมว่า “พรรคพลังประชารัฐ” อาจจะเทียบกับ “สามัคคีธรรม” ได้ใกล้กันมากกว่า เพราะว่า หัวหน้าพรรคของสามัคคีธรรมก็เป็นนักการเมืองเก่า คือ คุณณรงค์ วงศ์วรรณ แล้วก็สมาชิกพรรค กรรมการบริหารพรรคก็เป็นอดีตนักการเมืองทั้งนั้น
เพราะฉะนั้น ความเหมือนระหว่าง พลังประชารัฐ กับ พรรคสามัคคีธรรม จะเหมือนกันมากกว่า แต่ถามว่า เป็นพรรคทหาร อย่าพึ่งไปผนวกกองทัพเข้ามาอย่างชัดเจน เพราะบทเรียนในอดีตทำให้เห็นว่า เมื่อถึงเวลาหนึ่งกองทัพก็จะไม่เอาพรรคดังกล่าวนี้ เพราะไม่เช่นนั้นแล้ว พฤษภาทมิฬจะลงเอยจากการที่ พล.อ.สุจินดา ต้องลาออกได้อย่างไร ก็แปลว่า เมื่อถึงเวลากองทัพก็จะดีดตัวเองออกมาจากการเชื่อมโยงกับพรรคการเมืองที่ถูกเรียกว่าเป็นพรรคทหาร และการใช้คำว่า พรรคทหาร ผมคิดว่า ทหารเองก็คงไม่ชอบ
ถามว่า การเมืองไทยจะวนกลับมาแบบสมัย พล.อ.สุจินดา ที่มีพรรคทหารมาสืบทอดอำนาจแล้วประชาชน นิสิต นักศึกษาไม่พอใจแล้วมีการประท้วง มันอาจจะเกิดขึ้นได้ แต่ก่อนที่จะเกิดพฤษภาทมิฬ ก่อนจะมีการทำรัฐประหาร รสช. การเมืองไทยไม่ได้วิกฤตการณ์รุนแรงในแบบที่เกิดขึ้นในขณะนี้ ที่มีการชุมนุม การขัดแย้งตั้งแต่ปี 2549-2557
เพราะฉะนั้น ถึงแม้พลังประชารัฐจะมีปัญหาเยอะมาก รวมทั้งตัวนายกฯ ขณะนี้ด้วย ถ้าย้อนเวลากลับไปช่วงปี 2534-2535 ผมคิดว่า ประชาชนออกมาไล่เรียบร้อยแล้ว แต่ที่ยังไม่ไล่ ผมคิดว่า เพียงเพราะว่าเรายังอยู่ในช่วงที่ควันของความยุ่งเหยิง วุ่นวาย สับสนของการเมืองบนท้องถนนยังอยู่ในอารมณ์ของผู้คน แต่ถ้าต่อจากนี้จางไปเมื่อไหร่โอกาสที่จะหวนกลับมาแบบนั้นเป็นไปได้มาก
ศ.ดร.ไชยันต์ กล่าวชัดเจนว่า พรรคทหารที่ตั้งขึ้นมาเพื่อสืบทอดอำนาจ ไม่เคยประสบความสำเร็จนับตั้งแต่พรรคเสรีมนังคศิลา เพราะว่าไปโกงเลือกตั้ง พรรคสหประชาไทยก็เกิดจากการทำรัฐประหารตัวเอง จริงๆ แล้วจอมพลถนอมในฐานะนายกฯขณะนั้น ปัญหาที่เป็นหอกข้างแคร่ ก็คือ ตัวส.ส.ของพรรค
แต่ปัจจุบันนี้ เราจะพบว่า นายกฯถึงแม้ไม่ได้เอาตัวเองเป็นเนื้อเดียวกับพรรคพลังประชารัฐ เพราะว่าไม่ได้เป็นสมาชิกพรรค ไม่มีตำแหน่งอะไรในนั้น แล้วก็ปล่อยให้ พล.อ.ประวิตร ที่เริ่มเปิดตัวให้เห็น
ประเด็นคือ บรรดาคนในพรรคพลังประชารัฐก่อนหน้าที่จะมีการจัดตั้ง ครม. ก็พบว่า มีปัญหาอยู่แล้วในการที่เรียก โควตาเก้าอี้ ทั้งยังมีเรื่องของพรรคร่วมด้วย เพราะฉะนั้นความสำเร็จที่จะเกิดขึ้น ดูว่า มันน้อยมาก มันเลือนรางมากๆ
รัฐประหารที่เกิดขึ้นในประเทศไทย มีทั้งต้องการแย่งชิงอำนาจ กับรัฐประหารเพื่อกระชับอำนาจที่มีอยู่ แต่ในกรณีที่จะเกิดรัฐประหารเพื่อสนับสนุน พล.อ.ประยุทธ์ เชื่อว่าจะไม่เกิดขึ้น พล.อ.ประยุทธ์ มีความชอบธรรมอะไรให้สนับสนุนมีแต่ปัญหา ยกเว้นว่า การทำรัฐประหารที่เกิดขึ้นมาจะตอบโจทย์ตรงที่ว่า ล้างไพ่และนำไปสู่การร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ที่ ขณะนี้อย่างน้อยพรรคอนาคตใหม่เขารณรงค์เพื่อจะแก้รัฐธรรมนูญ และก็มีอีกหลายภาคส่วนที่ต้องการแก้รัฐธรรมนูญ
ถ้าเราจะมองอนาคตใหม่เป็นซ้ายและต้องการแก้รัฐธรรมนูญ ปีกขวาเองก็ต้องการแก้รัฐธรรมนูญ ไปดูคำสัมภาษณ์ของ ดร.อาทิตย์ อุไรรัตน์ และผู้ใหญ่หลายคนก็ต้องการแก้รัฐธรรมนูญเหมือนกัน หมายความว่า ทั้งฝ่ายซ้าย ฝ่ายขวาในปัจจุบันต่างต้องการแก้รัฐธรรมนูญ จะยินดีกับการทำรัฐประหารเพื่อล้มรัฐธรรมนูญฉบับนี้ไหม
ผมตอบได้เลยนะครับว่าปีกซ้ายถึงแม้จะทำการรัฐประหารจะช่วยให้การล้มรัฐธรรมนูญฉบับนี้ได้เร็วขึ้น จะช่วยให้การแก้รัฐธรรมนูญฉบับนี้ได้เร็วขึ้น แต่เขาไม่เอาแน่นอน เพราะมันเป็นการแก้ปัญหาด้วยวิธีการแบบทางลัดและมันไม่ได้ตอบโจทย์อะไรทั้งสิ้น เพราะฉะนั้น ถามว่ารัฐประหารจะเกิดขึ้นไหม ไม่เกิดในเร็วๆ นี้ ไม่เกิด
ที่สำคัญที่ต้องฟังให้ดีเลย การทำรัฐประหารทำให้รัฐธรรมนูญล้มไป สถานะของสถาบันพระมหากษัตริย์จะมีปัญหามากมาย ช่วง 70 ปีครองราชย์ของในหลวง ต้องเจอรัฐประหารกี่ครั้ง แต่สถานะของพระองค์ท่าน คือ พระมหากษัตริย์ภายใต้รัฐธรรมนูญ แต่รัฐธรรมนูญเปลี่ยนเป็นว่าเล่น ร่างกัน ว่ากันตามใจ และพระมหากษัตริย์ต้องวางตัวภายใต้รัฐธรรมนูญ แต่รัฐธรรมนูญไม่มีความแน่นอน ไม่ใช่แค่ประชาชนที่ต้องการมีรัฐธรรมนูญมีความมั่นคงถาวร สถาบันพระมหากษัตริย์เองก็ไม่พึงปรารถนาให้มีรัฐธรรมนูญเปลี่ยนแปลงไปมา
บทเรียนจาก 70 ปีนั้น ผมคิดว่า ในรัชสมัยนี้ก็เรียนรู้กันหมดว่า มันสร้างปัญหามากกว่าที่จะช่วยแก้ปัญหา เพราะฉะนั้น รัฐประหารโอกาสที่จะเกิดขึ้นในเร็วๆ นี้ ไม่น่าเป็นไปได้
ส่วนที่ตั้งข้อสังเกตว่า เพื่อความชอบธรรม พล.อ.ประยุทธ์ ต้องลงเป็นสมาชิกของพรรคพลังประชารัฐ หรือพรรคการเมืองสักพรรคหนึ่งหรือไม่นั้น ศ.ดร.ไชยันต์ บอกว่า รัฐธรรมนูญไม่ได้กำหนดไว้ว่าคนเป็นนายกฯจะต้องเป็นสมาชิกพรรคหรือเป็นอะไร ในประเทศที่พัฒนาแล้วก็ไม่ได้กำหนดไว้ อย่างในอังกฤษก็ไม่ได้กำหนด เพียงแต่ว่ามันเป็นประเพณีที่ทำตามกันมาและมันชอบธรรม แต่ของเราไม่ได้กำหนดไว้ เมื่อไม่ได้กำหนดไว้ แล้วทำไมจะต้องเป็นสมาชิกพรรค
การที่ พล.อ.ประยุทธ์ จะเป็นสมาชิกพรรค คนที่ได้ประโยชน์คือ พรรคพลังประชารัฐ แต่ตัว พล.อ.ประยุทธ์ ไม่ได้ประโยชน์อะไรเลย และถ้าเอาตัวเข้าไปเป็นนักการเมืองเต็มที่ ก็เท่ากับถอยห่างจากกองทัพมากขึ้นเท่านั้น
อย่างไรก็ดี ศ.ดร.ไชยันต์ มองว่า เชื่อมั่นว่า สิ่งที่จะทำให้รัฐบาลล้มไปเองนั้นมีอยู่ทางเดียว คือ การยุบสภา การอภิปรายไม่ไว้วางใจ เรื่องนี้ไม่นับ ปัญหาเรื่องการถวายสัตย์ก็เป็นเรื่องยุ่งยาก แต่ผมกำลังจะหมายถึงว่า ถ้ามีการอภิปรายไม่ไว้วางใจ มีการยกมือไปแล้ว พล.อ.ประยุทธ์ ก็พ้นสภาพจากการเป็นนายกฯ ก็ต้องกลับไปสู่กระบวนการที่สภาสมัยนี้ เป็นผู้ที่จะซาวด์เสียงกลับมา
มันก็เข้าสู่กระบวนการเดิม คือ ต้องได้คะแนนเสียง 376 และก็คงไม่มีพรรคการเมืองใดในสภาที่แคนดิเดตจะได้ 376 เป็นไปไม่ได้เลย ก็ต้องพึ่งพา ส.ว. เมื่อพึ่งพา ส.ว. เอาแค่เสียงของ พลังประชารัฐร้อยกว่าเสียงบวกอีกสองร้อยห้าสิบ ยังไงมันก็เกิน 376 เขาก็กลับมาอีก คือ พูดง่ายๆ ตามกฎหมาย พล.อ.ประยุทธ์ กลับมาได้เรื่อยๆโดยที่ไม่ต้องไปเลือกตั้งใหม่ ปัญหาอยู่ที่ว่า ความชอบธรรมทางการเมือง มันจะลดลงไปเรื่อยๆ หรือไม่
ภาพที่คนปฏิเสธ ส.ว.มันจะชัดขึ้นเรื่อยๆว่า ขนาดถูกอภิปรายไม่ไว้วางใจไปแล้วก็ยังเท 250 มาให้คนที่ไปค้าน ส.ว. คือ ส่วนเกิน มันก็จะมีความเป็นจริงมากขึ้นว่า ตกลงแล้วจะเอากันแบบดื้อๆ อย่างนี้หรือ ประชาชนที่สนับสนุน พล.อ.ประยุทธ์ เมื่อเห็นว่า มันมีปัญหา แล้ว พล.อ.ประยุทธ์ ต้องถูกไม่ไว้วางใจแล้วกลับมาเสียงสนับสนุนนี้มันก็จะน้อยลงไปเรื่อยๆ เพราะความรัก ความพอใจ มันไม่เท่ากับเรื่องที่ว่า ตกลงแล้ว คุณมีผลงานให้ผมไปคุย ไปอ้างได้ว่าที่ผมเชียร์ประยุทธ์เพราะว่า ผมเห็นว่าเขามีผลงาน ไม่ใช่ว่าผมเชียร์ประยุทธ์เพราะรักลุงตู่ เชิดชูสถาบันเท่านั้นมันไม่พอ
“ตามกลไกของรัฐธรรมนูญฉบับนี้ แล้วก็ตามตัวเลขของพรรคต่างๆ ในสภา ยังไงโอกาสที่จะมีแคนดิเดตของพรรคเพื่อไทย และพรรคอนาคตใหม่ ที่จะได้ 376 โดยไม่ต้องพึ่ง ส.ว.เลย มันไม่มี ถามว่า ส.ว.จะเทให้พรรคเหล่านี้ไหมก็คงยากอยู่” ศ.ดร.ไชยันต์ ระบุ