"หมอชลน่าน" ส่งทีม MCATT เยียวยาจิตใจต่อเนื่องเหตุนักเรียนแทงกัน

30 ม.ค. 2567 | 06:00 น.

หมอชลน่าน สั่งกรมสุขภาพจิตส่งทีม MCATT ร่วมกับทีมของ กทม. ดูแลเยียวยาจิตใจเด็ก-ครูในโรงเรียนที่เกิดเหตุทำร้ายร่างกายอย่างต่อเนื่อง ระบุความก้าวร้าวเกิดจากหลายปัจจัย ต้องช่วยชี้แนะให้เด็กรู้จักจัดการอารมณ์ พร้อมสังเกตสัญญาณที่สื่อว่าจะมีความรุนแรง

เหตุการณ์นักเรียนโรงเรียนมัธยมแห่งหนึ่งย่านพัฒนาการ 26 เขตสวนหลวง กรุงเทพมหานคร ถูกทำร้ายร่างกายและเสียชีวิตขณะนำตัวส่งโรงพยาบาล เมื่อวันที่ 29 มกราคม ที่ผ่านมา

นายแพทย์พงศ์เกษม ไข่มุกด์ อธิบดีกรมสุขภาพจิต กล่าวว่า นายแพทย์ชลน่าน ศรีแก้ว รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข มีความเป็นห่วงผลกระทบด้านจิตใจทั้งเด็ก ๆ และบุคลากรครูในโรงเรียนอย่างมาก

ในวันนี้ (30 มกราคม 2567) จึงได้สั่งการให้กรมสุขภาพจิต ส่งทีม MCATT จากสถาบันสุขภาพจิตเด็กและวัยรุ่นราชนครินทร์ สถาบันราชานุกูล ศูนย์สุขภาพจิตที่ 13 ร่วมกับ ศูนย์บริการสาธารณสุขที่ 37 สำนักอนามัย กรุงเทพมหานคร ลงพื้นที่ช่วยเหลือเยียวยาจิตใจนักเรียนในโรงเรียนดังกล่าว

"หมอชลน่าน" ส่งทีม MCATT เยียวยาจิตใจต่อเนื่องเหตุนักเรียนแทงกัน

โดยวางแผนประเมินสุขภาพใจและให้การปฐมพยาบาลทางจิตใจเบื้องต้นกับนักเรียนและบุคลากรครู ทั้งสิ้น 67 คน แบ่งเป็น นักเรียน 55 คน และบุคลากรครู 12 คน เบื้องต้นพบว่า นักเรียน 36 คน และครู 12 คน มีภาวะความเครียด ได้ให้การปรึกษารายบุคคล รวมถึงวางแผนร่วมกับผู้บริหารโรงเรียนในการดูแลเยียวยาจิตใจในระยะยาวต่อไป โดยจะส่งเจ้าหน้าที่จากสถาบันจิตเวชศาสตร์สมเด็จเจ้าพระยาเข้าร่วมปฏิบัติงานเพิ่มเติม 

นายแพทย์พงศ์เกษม กล่าวต่อว่า สาเหตุของความก้าวร้าวมักเกิดจากหลายปัจจัย ตั้งแต่ปัจจัยส่วนตัวที่มีปัญหาการจัดการอารมณ์ การจัดการความโกรธ ความใจร้อนหุนหันพลันแล่น หรือเป็นโรคที่ยับยั้งชั่งใจ คุมตัวเองยาก

"หมอชลน่าน" ส่งทีม MCATT เยียวยาจิตใจต่อเนื่องเหตุนักเรียนแทงกัน

ปัจจัยจากครอบครัวที่มีความก้าวร้าวทางร่างกาย วาจา อารมณ์ ทำให้เรียนรู้ว่าสามารถแก้ไขความไม่พอใจด้วยความก้าวร้าวได้ หรืออาจดูแลตามใจจนเด็กไม่ได้ฝึกควบคุมตนเอง เมื่อไม่พอใจก็แสดงความก้าวร้าวใส่ผู้อื่น

ปัจจัยทางโรงเรียน สังคมรอบตัว เช่น การกลั่นแกล้งรังแก การอยู่ในกลุ่มเพื่อนที่นิยมความรุนแรง การใช้สารเสพติด เป็นต้น รวมทั้งปัจจุบันยังมีปัจจัยด้านสื่อออนไลน์ ที่สามารถสร้างอารมณ์การเกิดความรุนแรงได้ง่าย

ดังนั้น การแก้ไขและป้องกันปัญหาความรุนแรงจึงต้องแก้ทุกปัจจัยไปพร้อมกัน ทั้งนี้ มีข้อแนะนำในการทำให้เด็กรู้อารมณ์และจัดการอารมณ์ ดังนี้

1.ผู้ใหญ่ควรควบคุมให้เด็กหยุดความก้าวร้าวด้วยความสงบ เช่น ใช้การกอดหรือจับให้เด็กหยุด หลังจากที่เด็กอารมณ์สงบแล้ว ควรพูดคุยถึงสาเหตุที่ทำให้เด็กไม่พอใจจนแสดงความก้าวร้าว เพื่อให้เด็กได้ระบายออกเป็นคำพูด

2.ควรเริ่มฝึกฝนเด็กตั้งแต่อายุ 3 ขวบ ให้รู้จักควบคุมอารมณ์ตัวเอง เช่น ฝึกให้แยกตัวเมื่อรู้สึกโกรธ

"หมอชลน่าน" ส่งทีม MCATT เยียวยาจิตใจต่อเนื่องเหตุนักเรียนแทงกัน

3.ฝึกให้เด็กรู้จักเห็นอกเห็นใจ มีจิตใจโอบอ้อมอารีแก่คน สัตว์ หรือสิ่งมีชีวิตอื่น ๆ

ขณะที่ครอบครัวต้องให้การดูแลอย่างเหมาะสม คือ 1.ต้องไม่ใช้ความรุนแรงเข้าไปเสริม การลงโทษอย่างรุนแรงในเด็กที่ก้าวร้าวไม่ช่วยให้ความก้าวร้าวดีขึ้น เด็กอาจหยุดพฤติกรรมชั่วครู่ แต่สุดท้ายก็จะกลับมาแสดงพฤติกรรมนั้นอีก และอาจเรื้อรังไปจนโตเป็นผู้ใหญ่ได้

2.ไม่ควรมีข้อต่อรองกันขณะเด็กมีพฤติกรรมก้าวร้าว

3.หลีกเลี่ยงการตำหนิว่ากล่าวเปรียบเทียบ เพราะจะทำให้เด็กมีปมด้อย รวมทั้งไม่ข่มขู่ หลอกให้กลัว หรือยั่วยุให้เด็กมีอารมณ์โกรธ เนื่องจากเด็กจะซึมซับพฤติกรรมและนำไปใช้กับคนอื่นต่อ 

ด้านแพทย์หญิงวิมลรัตน์ วันเพ็ญ ผู้อำนวยการสถาบันสุขภาพจิตเด็กและวัยรุ่นราชนครินทร์ กล่าวว่า วิธีการสังเกตว่าจะมีความรุนแรง คือ การเปลี่ยนแปลงทางความคิด อารมณ์ พฤติกรรม เช่น คิดว่าตนเองไม่ดี คนอื่นไม่ดี คิดอยากทำร้ายตนเองหรือผู้อื่น อารมณ์หงุดหงิดง่าย หรือ ซึมเศร้า พฤติกรรมก้าวร้าว พูดคำหยาบคาย หรือแยกตัว

"หมอชลน่าน" ส่งทีม MCATT เยียวยาจิตใจต่อเนื่องเหตุนักเรียนแทงกัน หากสงสัยว่า บุตรหลานของตนอาจเป็นผู้ที่ได้รับผลกระทบจากความรุนแรง ข้อแนะนำ ดังนี้

1.สังเกตร่องรอยการถูกทำร้ายตามร่างกาย พฤติกรรม หรืออารมณ์ที่เปลี่ยนแปลงไปของเด็ก เช่น มีอาการหวาดกลัว มีพฤติกรรมถดถอย ก้าวร้าว ซึมเศร้า หรือกลัวการแยกจากผู้ปกครองมากขึ้น

2.ใส่ใจรับฟัง ใช้เวลาพูดคุยมากขึ้น เข้าใจในสิ่งที่ลูกกำลังสื่อสารโดยไม่ด่วนตัดสิน อาจเริ่มต้นจากคำถามง่ายๆ เช่น "วันนี้เป็นอย่างไรบ้าง" "วันนี้มีความสุขกับอะไรบ้าง" "วันนี้เพื่อนและครูเป็นอย่างไรบ้าง" "วันนี้ไม่ชอบอะไรที่สุด" 

เมื่อสงสัยว่า ลูกถูกกระทำความรุนแรง สามารถใช้การสนทนาด้วยประโยคง่ายๆ เช่น "ถ้ามีใครทำให้ลูกเจ็บหรือเสียใจ เล่าให้พ่อแม่ฟังได้นะ เราจะได้ช่วยกัน" ในกรณีที่เด็กไม่สามารถเล่าหรือตอบได้ อาจใช้ศิลปะหรือการเล่นผ่านบทบาทสมมุติเพื่อเป็นเครื่องมือในการช่วยสื่อสารได้

3.สร้างพื้นที่ปลอดภัยในครอบครัว ให้ลูกสามารถสื่อสาร หรือเล่าเรื่องราวต่างๆ ได้ โดยไม่ถูกบ่นหรือตำหนิ หลีกเลี่ยงการใช้การลงโทษที่ใช้ความรุนแรงทางกายและทางอารมณ์ เน้นการใช้แรงเสริมทางบวกเพื่อเพิ่มพฤติกรรมที่ดีแทน

หากพบว่า เด็กมีพฤติกรรม อารมณ์ ความคิด ที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างมาก ควรพาไปปรึกษาผู้เชี่ยวชาญ จิตแพทย์เด็กและวัยรุ่น หรือกุมารแพทย์พัฒนาการ ได้ที่สถานพยาบาลใกล้บ้าน หรือโทรปรึกษาสายด่วนสุขภาพจิต 1323 ฟรีตลอด 24 ชั่วโมง

"หมอชลน่าน" ส่งทีม MCATT เยียวยาจิตใจต่อเนื่องเหตุนักเรียนแทงกัน