6 กันยายน วันต่อต้านคอร์รัปชันแห่งชาติ เปิดที่มาและความสำคัญ 

06 ก.ย. 2566 | 01:00 น.

6 กันยายน 2566 วันต่อต้านคอร์รัปชันแห่งชาติ เปิดที่มา ประวัติ พร้อมเหตุผลสำคัญที่กำหนดให้ 6 กันยายนของทุกปีเป็นวันต่อต้านคอร์รัปชันของไทย ขณะที่วันต่อต้านคอร์รัปชันสากลตรงกับวันที่ 8 กันยายนของทุกปี

วันที่ 6 กันยายนของทุกปี เป็นวันต่อต้านคอร์รัปชันแห่งชาติของไทย ขณะที่วันต่อต้านคอร์รัปชันสากลจะตรงกับวันที่ 8 กันยายนของทุกปี

สำหรับวันต่อต้านคอร์รัปชันของไทยนั้นเกิดจากการตื่นตัวและรวมพลังกันเพื่อต่อต้านการทุจริตคอร์รัปชันของภาคประชาชน และภาคเอกชนเกิดขึ้นเป็นรูปธรรม จากการริเริ่มทุ่มเทแรงกายแรงใจของ นายดุสิต นนทะนาคร ประธานหอการค้าไทย และสภาหอการค้าแห่งประเทศไทยในขณะนั้นที่ต้องการแก้ไขปัญหาวิกฤตของประเทศในเรื่องนี้ 

จุดเริ่มของภาคีเครือข่ายต่อต้านคอร์รัปชันในไทย

พาย้อนกลับไปเมื่อวันที่ 1 มิถุนายน 2554 ที่โรงแรมพลาซ่าแอทธินี นายดุสิต นนทะนาคร ประธานกรรมการหอการค้าไทย ได้กล่าวเปิดงานสัมมนา "ต่อต้านคอร์รัปชัน : จุดเปลี่ยนประเทศไทย" ซึ่งจัดขึ้น หอการค้าทั่วประเทศ ร่วมกับสมาคมส่งเสริมสถาบันกรรมการบริษัทไทย (ไอโอดี) และภาคี 20 องค์กร มีองค์กรจากภาคเอกชน ภาครัฐ ภาคการศึกษา และองค์กรระหว่างประเทศ เข้าร่วม 23 แห่ง เพื่อระดมความคิดเห็นเพื่อต่อต้านการทุจริตคอร์รัปชันให้เกิดผลเป็นรูปธรรม 

นายดุสิต ระบุตอนหนึ่งโดยประกาศภายในงานว่า ..หอการค้าไทยและภาคี 21 องค์กรจะหยุดจ่ายเงินให้รัฐเพื่อยุติข้ออ้างที่ว่า การทุจริตคอร์รัปชันเกิดจากมี "ผู้ให้" จึงมี "ผู้รับ" ที่ผ่านมาเอกชนจ่ายให้รัฐประมาณ 12 แสนล้านบาทต่อปี

การเริ่มต้นวันนี้ถือเป็นช่วงเวลาที่เหมาะสม เพราะอยู่ในช่วงเลือกตั้ง พรรคการเมืองใดที่ไม่ให้ความสำคัญกับการต่อต้านคอร์รัปชัน ประชาชนไม่ควรให้คนเหล่านี้เข้ามาบริหารประเทศ ต่อไปเอกชนจะตรวจสอบการคอร์รัปชันทุกรูปแบบ เพื่อดึงคอร์รัปชันออกมาสู่ที่สว่าง โดยไม่หวั่นไหวต่ออำนาจและการแทรกแซง..." 

จากคำกล่าวนี้เองได้สร้างแรงสั่นสะเทือนเกิดแรงกระเพื่อมขึ้นในสังคมไทยเป็นวงกว้างจนกลายเป็น "วาระแห่งชาติ" ที่ทุกองค์กร บริษัท หน่วยงานรัฐต่างพร้อมใจกันขับเคลื่อนเรื่องนี้เพื่อให้เกิดเป็นรูปธรรม 

นายดุสิต นนทะนาคร

เหตุผลที่กำหนดให้วันที่ 6 กันยายนเป็นวันต่อต้านคอร์รัปชันของไทย

กระทั่งนายดุสิต ได้เสียชีวิตลงด้วยโรคมะเร็งในเม็ดเลือดขาว เมื่อวันที่ 6 กันยายน 2554 ปณิธานอันแรงกล้านั้นได้รับการสานต่อจากเหล่าสมาชิก โดยการนำของนายประมนต์ สุธีวงศ์ ที่ผู้เข้ามารับตำแหน่งประธานภาคีเครือข่าย และได้มีการเสนอให้ถือเอาวันแห่งการจากไปของ นายดุสิต ซึ่งผู้เป็นสร้างแรงบันดาลใจและแบบอย่างของต่อสู้อย่างไม่ย่อท้อในการต่อต้านคอร์รัปชันให้เป็น "วันต่อต้านคอร์รัปชัน" เพื่อให้ผู้ที่ยังอยู่ได้สานต่อเจตนารมณ์นี้ต่อไป

จากความร่วมมือของ "ภาคีเครือข่ายต่อต้านคอร์รัปชัน" ซึ่งเกิดจากแนวคิดริเริ่มของนายดุสิต ได้ถูกยกระดับขึ้นเป็นลำดับ กระทั่งในปี พ.ศ.2555 ได้เปลี่ยนชื่อเป็น องค์กรต่อต้านคอร์รัปชั่น (ประเทศไทย) โดยปัจจุบันนายวิเชียร พงศกร เป็นประธาน และได้จดทะเบียนเป็นมูลนิธิเมื่อปี พ.ศ.2557 มีสมาชิกรวมทั้งสิ้น 54 องค์กร

วัตถุประสงค์ของมูลนิธิองค์กรต่อต้านคอร์รัปชันฯ

  • ส่งเสริมและสนับสนุนการดำเนินงาน ขององค์กรต่อต้านคอร์รัปชัน (ประเทศไทย) ในด้านวิชาการ การบริหาร และกิจการที่เป็นประโยชน์ต่อการต่อต้านคอร์รัปชัน
  • จัดหาทุน เพื่อการดำเนินงาน หรือเพื่อการพัฒนาองค์กรต่อต้านคอร์รัปชัน (ประเทศไทย)
  • ส่งเสริมการศึกษา และการวิจัยค้นคว้า ให้นักศึกษามีคุณธรรม จริยธรรม มีความซื่อสัตย์สุจริตและต่อต้านการคอร์รัปชัน รวมทั้งสนับสนุนกิจการ
  • ส่งเสริมและสนับสนุนด้านศิลปะและเอกลักษณ์วัฒนธรรมไทย บ่มเพาะ ทัศนคติที่ดีเกี่ยวกับคุณธรรมจริยธรรม อันจะเป็นประโยชน์ต่อสังคมและประเทศชาติ
  • สนับสนุนการอนุรักษ์ธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ที่เป็นประโยชน์ต่อสังคมส่วนรวม
  • ดำเนินงานพื่อสาธารณประโยชน์ และร่วมมือกับองค์กรการกุศลอื่นๆ เพื่อกิจกรรมอันเป็นสาธาประโยชน์ 
  • ไม่ดำเนินการใด ๆ ที่เกี่ยวข้องกับการเมือง

ในขณะที่ล่าสุด สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริงแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ซึ่งได้เผยแพร่ดัชนีการรับรู้การทุจริต (Corruption Perceptions Index: CPI) ประจำปี 2565 จัดทำโดย องค์กรเพื่อความโปร่งใสนานาชาติ (Transparency International: TI) มีประเทศที่ถูกจัดอันดับทั้งสิ้น 180 ประเทศ นั้น

ประเทศไทย ได้คะแนนเพิ่มขึ้นเป็น 36 คะแนน จัดอยู่ในอันดับที่ 101 ของโลกดีขึ้นจากปี 2564 ที่ได้คะแนน 35 คะแนนและอยู่ในอันดับที่ 110 ของโลก

เมื่อเปรียบเทียบกับประเทศกลุ่มประเทศสมาชิกอาเซียนด้วยกัน ไทยอยู่อันดับที่ 4 โดยประเทศที่ได้คะแนนสูงสุด คือ สิงคโปร์ ได้ 83 คะแนน จัดอยู่ในอันดับที่ 4 ของโลก ส่วนอันดับที่ 2 และ 3 คือ ประเทศมาเลเซีย และประเทศเวียดนาม ได้คะแนน 47 และ 42 ตามลำดับ 

ข้อมูล / ภาพประกอบ องค์กรต่อต้านคอร์รัปชัน (ประเทศไทย)