ประวัติ ความเป็นมา วันกำเนิดลูกเสือชาวบ้าน 9 สิงหาคม 

09 ส.ค. 2566 | 00:00 น.

9 สิงหาคม วันกำเนิดลูกเสือชาวบ้าน เปิดประวัติ ความเป็นมา จุดมุ่งหมายของการก่อตั้งและนิยามความหมายอันลึกซึ้งของ "สีผ้าผูกคอลูกเสือ" พระราชทานที่ใครหลายคนยังไม่รู้ คลิกอ่านทั้งหมดได้ที่นี่

ในปัจจุบันเมื่อเราพูดถึง "ลูกเสือชาวบ้าน" เป็นที่รู้จักกันว่า คือ กลุ่มของชาวบ้านที่มาร่วมกันทำประโยชน์ให้กับสังคมผ่านการฝึกอบรมลูกเสือ มีการทำงานและเข้าค่ายต่าง ๆ คล้ายกับลูกเสือที่มีการเรียนการสอนอยู่ในโรงเรียนต่าง ๆ 

แต่หลายคนอาจไม่ทราบว่า มีจุดกำเนิดขึ้นในวันนี้ 9 สิงหาคม เมื่อปี 2514 ทั้งยังมีประวัติความเป็นมาที่น่าสนใจอยู่ไม่น้อยโดยเฉพาะในยุคที่เมืองไทยกำลังถูกคุกคามจากภัยคอมมิวนิสต์ ข้อมูลจาก สถาบันพระปกเกล้า ได้อธิบายถึงที่มาที่ไปของ "ลูกเสือชาวบ้าน" เอาไว้ดังนี้ 

กิจการลูกเสือชาวบ้านเริ่มดำเนินการมาตั้งแต่ พ.ศ. 2512 โดยผู้ที่มีบทบาทสำคัญในการก่อตั้ง คือ พล.ต.ต. สมควร หริกุล ผู้กำกับตำรวจชายแดนเขต 4 และ พล.ต.ต.เจริญฤทธิ์ จำรัสโรมรัน รองผู้บัญชาการตำรวจตระเวนชายแดน

ร่วมมือกับข้าราชการท้องถิ่นอีกหลายคน ได้จัดการอบรมลูกเสือชาวบ้านรุ่นที่ 1 ขึ้นเมื่อวันที่ 9 สิงหาคม พ.ศ. 2514 ที่ อ.บ้านเหล่ากอหก ต.แสงพา อ.นาแห้ว (ด่านซ้าย) จ.เลย

จุดมุ่งหมายแรกเริ่มของการจัดตั้งลูกเสือชาวบ้าน คือ การสร้างความสามัคคีในหมู่ข้าราชการและประชาชน เพื่อให้ประชาชนช่วยส่งข่าวและรวบรวมข้อมูลให้กับทางราชการเกี่ยวกับคอมมิวนิสต์ด้วยการทดลองจัดตั้งสมาชิกอาสาตำรวจตระเวนชายแดน การจัดตั้งชุดคุ้มครองตำบล การฝึกชาวบ้านให้รู้จักรักษาความปลอดภัยในหมู่บ้านของตนเอง นำเอาวิธีการลูกเสือ มาประยุกต์ใช้

ลูกเสือชาวบ้าน เริ่มดำเนินการฝึกอบรมครั้งแรก ตั้งแต่วันที่ 9-12 สิงหาคม พ.ศ. 2514 และในวันที่ 19 มีนาคม พ.ศ. 2515 ได้รับพระมหากรุณาธิคุณ จากพระบาทสมเด็จพระมหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร และสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง เสด็จทอดพระเนตรกิจกรรม และฟังบรรยายสรุปถวาย ณ กองกำกับการตำรวจตระเวนชายแดนเขต 4 (ปัจจุบันคือ กองกำกับการตำรวจตระเวนชายแดนที่ 24) ค่ายเสนีย์รณยุทธ อำเภอเมือง จังหวัดอุดรธานี

ทั้งนี้ พระองค์ทรงรับกิจการลูกเสือชาวบ้าน ไว้ในพระราชานุเคราะห์ พร้อมทั้งพระราชทานผ้าผูกคอพระราชทานลูกเสือ ชาวบ้าน และยังพระราชทานธงประจำรุ่น ให้แก่ลูกเสือชาวบ้านทุกรุ่น

ความหมายของ สีของผ้าผูกคอ "ลูกเสือชาวบ้าน"

สีของผ้าผูกคอพระราชทานนั้น สืบเนื่องมาจาก พล.ต.ต.สมควร หริกุล ผู้ริเริ่มกิจการลูกเสือชาวบ้านเป็นข้าราชการตำรวจจึงได้นำ "สีของกรมตำรวจ" มาใช้

"สีเลือดหมู" เปรียบเหมือนสีเลือด  หมายถึง ชาติไทยที่เป็นอิสระจนถึงทุกวันนี้ เพราะบรรพบุรุษได้เสียสละชีวิต เลือดเนื้อมาแล้วนับสิบ ๆ ล้านชีวิต เพื่อปกป้องรักษาแผ่นดินไทยผืนนี้

"สีดำ" หมายถึง สีแห่งความทุกข์ เพื่อเตือนให้คนไทยระลึกถึงความทุกข์ ความลำบากยากเข็ญแสนสาหัสของบรรพบุรุษที่ได้ร่วมมือร่วมใจ สมัครสมานสามัคคีกัน เพื่อรักษาแผ่นดินไทยแห่งนี้ไว้

"สีเหลือง" ปรากฏอยู่บนปกผ้าผูกคอ หมายถึง ศาสนาเพราะทุกศาสนาล้วนสอนให้เป็นคนดี มีสติยั้งคิด ประพฤติตนเป็นคนดี ละเว้นความชั่ว

พระบาทสมเด็จพระมหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตรและ สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง ขณะที่ทรงเป็นพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 9 และสมเด็จพระบรมราชินี โปรดเกล้าฯ ให้สมุหราชองครักษ์ ทำหนังสือถึงกระทรวงมหาดไทยตามหนังสือของกรมราชองครักษ์ที่ กห.0204/2477 ลงวันที่ 25 ตุลาคม พ.ศ. 2515 ให้แจ้งให้ ผู้ว่าราชการจังหวัดทุกจังหวัด สนับสนุนกิจการลูกเสือชาวบ้าน โดยให้ความร่วมมือกับตำรวจตระเวนชายแดน

 

การฝึกเป็นลูกเสือชาวบ้าน

ผู้เข้ารับการฝึกเป็นลูกเสือชาวบ้านแต่ละกลุ่มประกอบด้วย ผู้ใหญ่ 300-500 คน แต่ละกลุ่มจะได้รับการฝึกเป็นเวลา 5 วัน โดยผู้นำ 30-50 คน อยู่ใต้คำสั่งของ ตชด.โดยตรง

แต่ละกลุ่มจะถูกแบ่งออกเป็นกลุ่มย่อย กลุ่มละ 10 คน ระหว่างการฝึกฝนพวกเขาทำงานและเล่นด้วยกัน พวกเขารำไทยและร้องเพลงไทย คงไว้ซึ่งความรักใน 3 สถาบัน ได้แก่ ชาติ ศาสนา และพระมหากษัตริย์

ในวันสุดท้ายของการอบรม ลูกเสือชาวบ้านถวายสัตย์ปฏิญาณว่าพวกเขาจะร่วมมือกันดูแลประเทศและจะปกป้องประเทศจากพวก "คอมมิวนิสต์"

 

กิจการลูกเสือชาวบ้านขยายตัวหลังเหตุการณ์ 14 ตุลาคม

ดังนั้น ในระยะหลังเหตุการณ์ 14 ตุลาคม พ.ศ.2516 กิจการลูกเสือชาวบ้านจึงขยายตัวอย่างมากและมีนายทหารและนักการเมืองสำคัญเข้าร่วมหลายคน เช่น พล.ต.ชาติชาย ชุณหะวัณ ซึ่งเป็นผู้ตรวจการลูกเสือชาวบ้าน, ธรรมนูญ เทียนเงิน เป็นผู้อำนวยการลูกเสือชาวบ้านพระนคร

พอมาถึงช่วงปี พ.ศ.2519 ลูกเสือชาวบ้านทั่วประเทศมีจำนวนหลายล้านคน มีทั้งเด็กผู้ใหญ่จนถึงคนชราว่ากันว่า เมื่อเกิดกรณี 6 ตุลาคม 19 ซึ่งนักศึกษาถูกกล่าวหาว่า เป็นคอมมิวนิสต์ ลูกเสือชาวบ้านก็มีการชุมนุมต่อต้านนักศึกษาที่พระบรมรูปทรงม้าด้วย

ทั้งนี้ พล.ต.ท. สมควร กล่าวว่า การชุมนุมของลูกเสือชาวบ้านเป็นการชุมนุมอย่างสงบ ไม่ได้ใช้ความรุนแรงแต่อย่างใดแต่อดีตแกนนำลูกเสือชาวบ้านมีมุมมองว่า กลุ่มพลังทุกฝ่ายรักชาติรักบ้านเมืองมีความคิดที่แตกต่างกัน

"ตอนนั้นเป็นความขัดแย้งทางความคิดอย่างเดียว คือ เรื่องความคิดเรา ต้องยอมรับว่า นักศึกษาเขาไม่ใช่คนชั่วเลยนะ เพราะนักศึกษาทุกคนสนิทกัน พูดง่าย ๆ ว่าพูดกันเข้าใจ ไม่เคยขัดแย้งกับใครเลย นักศึกษา 50-60 คนเคยไปอยู่ที่อุดรฯ เขาไปเผยแพร่ประชาธิปไตยเราไม่เคยขัดแย้งกัน เรามีความเข้าใจ ทุกคนก็รักชาติบ้านเมือง"

"ผมมีความรู้สึกว่า ทุกคนก็หวังดีต่อประเทศชาติทั้งนั้น ไม่มีใครเกลียดชังบ้านเมืองหรือเกลียดชังใคร แต่ความคิดต่างกันเท่านั้นเอง ตอนนั้นผมมองนักศึกษาที่ชุมนุมประท้วง ผมไม่ได้คิดตำหนิเขา ไม่ได้เห็นว่าเขาเสียหายอะไร"

พล.ต.ท.สมควร ยังกล่าวด้วยว่า ก่อนหน้าเกิดเหตุการณ์ 6 ตุลา มีการขโมยผ้าพันคอลูกเสือชาวบ้านไปและความรุนแรงที่เกิดขึ้นในวันนั้นไม่ใช่การกระทำของกลุ่มลูกเสือชาวบ้าน แต่มีมือที่สามเข้ามาแทรกแซง ทำให้เหตุลุกลามบานปลายยิ่งขึ้น

พล.ต.ท.สมควร เห็นว่า สาเหตุของความรุนแรงขณะนั้น คือ การยั่วยุให้เกิดความเกลียดชังกัน มีการนำลัทธิคอมมิวนิสต์เข้ามาในประเทศ หากลัทธินี้เข้ามา ชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ และจารีต ธรรมเนียมประเพณีทุกอย่างอันประกอบเป็นรากฐานของชาติต้องสูญสิ้นไป ซึ่งเป็นเรื่องที่คนไทยและลูกเสือชาวบ้านยอมไม่ได้

อย่างไรก็ดี ช่วงเวลานั้น มีการรายงานข่าวจากนักข่าวที่อยู่ในเหตุการณ์ 6 ตุลาคม ที่รายงานว่า ลูกเสือชาวบ้านเป็นหนึ่งในพวกที่บุกเข้าไปที่เข้าร่วมปะทะกับนักศึกษาในช่วง 7.00 น.–10.00 น. และในเวลา 12.00 น. ลูกเสือชาวบ้านกลุ่มที่ชุมนุมที่ลานพระบรมรูปทรงม้า เรียกร้องให้รัฐบาลปลด สุรินทร์ มาศดิตถ์, ชวน หลีกภัย, ดำรง ลัทธพิพัฒน์ ที่มีข่าวว่าให้การสนับสนุนเงินทุนกับ ศนท. ออกจากตำแหน่งรัฐมนตรี

และให้แต่งตั้ง สมบุญ ศิริธร และ สมัคร สุนทรเวช ให้อยู่ในตำแหน่งเดิมต่อไป ลูกเสือชาวบ้านชุมนุมอยู่จนถึงเวลาเย็นวันที่ 6 ตุลาคม พ.ศ. 2519 จึงได้สลายก่อนการรัฐประหารเพียงเล็กน้อย

ทุกวันนี้ ลูกเสือชาวบ้านยังคงอยู่ โดยกรมการปกครองกระทรวงมหาดไทย คือ ผู้สนับสนุนอย่างเป็นทางการของกิจกรรม

ข้อมูล สถาบันพระปกเกล้า เรียบเรียงโดย พิสิษฐิกุล แก้วงาม