กรมชลฯเร่งรับมือน้ำหลากลุ่มเจ้าพระยาฝั่งตะวันออกตอนล่าง แก้น้ำท่วม

23 พ.ค. 2566 | 09:55 น.

กรมชลฯเร่งรับมือน้ำหลากลุ่มเจ้าพระยาฝั่งตะวันออกตอนล่าง แก้น้ำท่วม ระบุจำเป็นต้องเพิ่มประสิทธิภาพการระบายน้ำของแม่น้ำและคลองเดิม หลังลุ่มน้ำเจ้าพระยาประสบปัญหาน้ำท่วมซ้ำซาก และมีแนวโน้มเกิดถี่ขึ้น

นายวิทยา แก้วมี รองอธิบดีกรมชลประทาน เปิดเผยว่า ที่ผ่านมาลุ่มน้ำเจ้าพระยาประสบปัญหาน้ำท่วมซ้ำซาก และมีแนวโน้มเกิดถี่ขึ้น โดยเฉพาะมหาอุทกภัยครั้งสำคัญในปี 2554 มีปริมาณน้ำหลากเกินศักยภาพการระบายน้ำในปัจจุบันของแม่น้ำเจ้าพระยา ทำให้มีปริมาณน้ำท่วมมากกว่า 20,000 ล้านลูกบาศก์เมตร สร้างความเสียหายให้กับพื้นที่เกษตรกรรม ชุมชนอยู่อาศัย แหล่งอุตสาหกรรม 

จึงจำเป็นต้องเพิ่มประสิทธิภาพการระบายน้ำของแม่น้ำและคลองเดิม โดยดำเนินงานตามแผน แผนปรับปรุงระบบชลประทานเจ้าพระยาฝั่งตะวันออกตอนล่าง โดยทำการออกแบบปรับปรุงคลองระบายน้ำ ปรับปรุงให้สอดรับกับภูมิศาสตร์ของพื้นที่ ทั้งในรูปแบบการขุดคลองระบายน้ำ ออกแบบและปรับปรุงอาคารบังคับน้ำตามแนวคลอง  รวมถึงงานก่อสร้างกำแพงกันดินเพื่อเพิ่มความแข็งแรงและลดการกัดเซาะตลิ่ง 

โดยมีแนวทางดำเนินงานใน 2 รูปแบบ ได้แก่ 

  • จัดทำกำแพงกันดินแบบตอกเข็มเสียบแผ่นกันดิน 
  • กำแพงกันดินแบบเข็มพืดคอนกรีตอัดแรง 

ทั้งนี้ จะพิจารณาจากข้อจำกัดของพื้นที่ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการระบายน้ำของคลองชลประทาน และคลองธรรมชาติเดิมให้สามารถระบายน้ำจากพื้นที่ด้านใต้แม่น้ำป่าสัก ลงสู่ทะเล 

กรมชลฯเร่งรับมือน้ำหลากลุ่มเจ้าพระยาฝั่งตะวันออกตอนล่าง แก้น้ำท่วม

รวมถึงปรับปรุงออกแบบอาคารบังคับน้ำ จะดำเนินการใน 2 รูปแบบ ประกอบด้วย 

  • งานก่อสร้างอาคารบังคับน้ำใหม่ เพื่อใช้ในการบริหารจัดการน้ำทั้งในช่วงฤดูน้ำหลาก และฤดูน้ำแล้ง ประกอบด้วย ประตูระบายน้ำ และท่อระบายน้ำ จำนวนรวม 12 แห่ง และงานปรับปรุงอาคารบังคับน้ำและสะพาน จากจำนวนอาคารชลประทานในระบบชลประทานเดิมทั้งสิ้น 63 แห่ง บางส่วนจะทำการปรับปรุง ซึ่งจะมีทั้งการก่อสร้างใหม่ทดแทนอาคารเดิม เพิ่มช่องบานระบาย และรื้อถอนอาคารเดิม ประกอบด้วย ประตูระบายน้ำท่อระบายน้ำ และสะพานแทนท่อระบายน้ำเดิม จำนวนรวม 9 แห่ง
  • การดำเนินโครงการออกแบบโครงการปรับปรุงระบบชลประทานพื้นที่เจ้าพระยาฝั่งตะวันออกตอนล่าง จ.พระนครศรีอยุธยา จะช่วยบรรเทาผลกระทบจากปัญหาภัยแล้ง และปัญหาอุทกภัยให้กับประชาชนในพื้นที่ ให้สามารถกักเก็บน้ำใช้ในช่วงฤดูแล้ง และสามารถเร่งระบายน้ำออกสู่ทะเลได้อย่างรวดเร็ว 

สำหรับพื้นที่ที่จะได้รับประโยชน์จากโครงการ  เริ่มตั้งแต่พื้นที่แม่น้ำปาสัก ผ่านพื้นที่ 77 ตำบล 17 อำเภอ ใน 7 จังหวัด คือ พระนครศรีอยุธยา สระบุรี นครนายก ปทุมธานี กรุงเทพมหานคร ฉะเชิงเทรา และสมุทรปราการ รวมความยาวปรับปรุงคลองทั้งสิ้น 505.18 กิโลเมตร ซึ่งจะสามารถเพิ่มประสิทธิภาพการระบายน้ำในพื้นที่จากเดิม 200 ลบ.ม.วินาที เป็น 400 ลบ.ม./วินาที