ศาลฎีกา พิพากษายืนโทษประหารชีวิต “ผอ.กอล์ฟ” กราดยิง ปี 2563

26 เม.ย. 2566 | 04:23 น.

ศาลฎีกา มีคำพิพากษายืนโทษประหารชีวิต นายประสิทธิชัย เขาแก้ว หรือ “ผอ.กอล์ฟ” อดีตผู้อำนวยการโรงเรียน ก่อเหตุใช้อาวุธปืน กราดยิง ชิงทองในห้างสรรพสินค้า จังหวัดลพบุรี เมื่อปี 2563

วันนี้ (26 เมษายน 2566) เมื่อเวลา 09.30 น. ที่ห้องพิจารณา 903 ศาลอาญา ถนนรัชดาภิเษก ศาลฎีกา ได้มีคำพิพากษายืนโทษประหารชีวิต นายประสิทธิชัย เขาแก้ว หรือ “ผอ.กอล์ฟ” อดีตผู้อำนวยการโรงเรียนประถมแห่งหนึ่งใน จ.สิงห์บุรี กรณีก่อเหตุใช้อาวุธปืน กราดยิง ชิงทรัพย์ ร้านทองออโรร่า ในห้างสรรพสินค้าโรบินสัน จ.ลพบุรี เมื่อปี 2563 

ทั้งนี้ ศาลฎีกา ได้อ่านคำพิพากษา คดีหมายเลขดำที่ อ.300/2564 ที่พนักงานอัยการคดีอาญา 6 และบริษัท ออโรร่า ดีไซน์ และผู้เสียหายอีก 10 ราย ร่วมกันเป็นโจทก์ฟ้อง “ผอ.กอล์ฟ” ในคดีสะเทือนขวัญเมื่อปี 2563 โดยศาลเห็นว่า พฤติการณ์ของจำเลยกระทำอย่างอุกอาจในห้างฯ อันเป็นที่สาธารณะ กระทำต่อผู้บริสุทธิ์ที่ไม่เกี่ยวข้องตาย 3 คนบาดเจ็บ 1 คน 

ถือเป็นพฤติการณ์อุกอาจโหดเหี้ยมอันตรายร้ายแรงผิดมนุษย์ จำเลยเป็นถึง ผอ.โรงเรียนควรมีจิตสำนึกที่ดี ให้สมกับมีอาชีพเป็นครู ที่จำเลยขอให้ลดโทษจึงไม่มีเหตุสมควร 

โดยก่อนหน้านี้ เมื่อวันที่ 27 สิงหาคม 2564 ศาลชั้นต้นมีคำพิพากษา ให้จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 289 (6) ประกอบมาตรา 60, 289 (6) ประกอบมาตรา 80, 289 (7), 339 วรรคสอง วรรคสี่ และวรรคท้ายประกอบมาตรา 340 ตรี, 371, 376, พ.ร.บ.อาวุธปืนฯ พ.ศ. 2490, พ.ร.บ.ควบคุมยุทธภัณฑ์ พ.ศ. 2530 การกระทำของจำเลยเป็นความผิดต่างกรรมให้ลงโทษทุกกรรมเป็นกระทงความผิดไป ประกอบด้วย

  • ฐานมีอาวุธปืน จำคุก 8 เดือน
  • ฐานมียุทธภัณฑ์ไว้ในครอบครอง จำคุก 6 เดือน
  • ฐานพกพาอาวุธปืนติดตัวไปในหมู่บ้านโดยไม่มีเหตุสมควร จำคุก 3 ปี
  • ฐานฆ่าผู้อื่นเพื่อตระเตรียมการหรือเพิ่มความสะดวกในการจะกระทำผิดให้ประหารชีวิต
  • ฐานพยายามฆ่าผู้อื่น จำคุกตลอดชีวิต
  • ฐานชิงทรัพย์ในเวลากลางคืน เป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย โดยมีและใช้อาวุธปืนและโดยใช้ยานพาหนะ ให้ประหารชีวิต 

ทั้งนี้เมื่อรวมโทษทุกกระทงแล้ว ให้ลงโทษประหารชีวิตจำเลย สถานเดียว ปรับ 1,000 บาท ริบของกลาง อาวุธปืนและเครื่องกระสุน หมวกโม่งคลุมศีรษะสีดำ รถจักรยานยนต์ยี่ห้อยามาฮ่า เสื้อยืด โทรศัพท์เคลื่อนที่ที่ใช้กระทำผิด 



รวมทั้งให้จำเลยชดใช้ค่าสินไหมทดแทนแก่บรรดาโจทก์ร่วมที่ 1 จำนวน 1.8 แสนบาท, ที่ 2 จำนวน 9.9 หมื่นบาท, ที่ 3 จำนวน 1.3 แสนบาท, ที่ 4 จำนวน 2.2 ล้านบาท, ที่ 5 จำนวน 7.5 แสนบาท ที่ 6, 7 และ 8 จำนวน 2.25 ล้านบาท, ที่ 9 และ 10 จำนวน 7.5 แสนบาท

แม้ต่อมาจำเลยจะยื่นอุทธรณ์ขอลดโทษ ศาลอุทธรณ์ จึงตรวจสำนวนและหารือถึงเหตุสมควรลดโทษให้จำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 หรือไม่ โดยเห็นว่า โจทก์และโจทก์ร่วมมีพยานหลักฐานทางวิทยาศาสตร์และพยานแวดล้อมกรณีมาสืบให้รับฟังได้อย่างมั่นคงว่า จำเลยเป็นคนร้ายที่ใช้อาวุธปืนยิงผู้ตายทั้งสามและผู้เสียหายและชิงทรัพย์สร้อยคอทองคำของโจทก์ร่วมแล้วหลบหนีไป 

โดยจำเลยไม่ได้ลุแก่โทษ เข้ามอบตัวต่อเจ้าพนักงานและสารภาพความผิด เจ้าพนักงานตำรวจต้องรวบรวมพยานหลักฐานเพื่อขอออกหมายจับจำเลย และลำพังพยานหลักฐานที่โจทก์และโจทก์ร่วมนำสืบมาก็เพียงพอที่จะลงโทษจำเลยได้แล้ว

ส่วนการที่จำเลยรับสารภาพ เป็นเพราะเกิดจากจำนนต่อหลักฐาน การที่จำเลยชิงทรัพย์เป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย ได้รับอันตรายสาหัส และฆ่าผู้อื่น เพื่อตระเตรียมการหรือเพื่อความสะดวกในการที่จะกระทำความผิดอย่างอื่น ฆ่าผู้อื่นเพื่อจะเอาหรือเอาไว้ซึ่งผลประโยชน์อันเกิดแต่การที่ตนได้กระทำความผิดอื่น และเพื่อหลีกเลี่ยงให้พ้นอาญาในความผิดอื่นที่ตนได้กระทำไว้ 

ดังนั้นลักษณะของการกระทำความผิดจึงเป็นไปโดยอุกอาจ ไม่ยำเกรงต่อกฎหมายบ้านเมือง เป็นการกระทำที่โหดเหี้ยมทารุณ ไร้มนุษยธรรม ก่อให้เกิดผลกระทบต่อความสงบเรียบร้อยของสังคม พฤติการณ์แห่งคดีจึงเป็นเรื่องร้ายแรง ถึงแม้จำเลยชดใช้ความเสียหายเพื่อบรรเทาผลร้ายสำนึกผิด หรือมีคุณความดีดังที่อุทธรณ์ก็ไม่เป็นเหตุผลเพียงพอที่จะสมควรใช้ดุลยพินิจลดโทษให้แก่จำเลยได้ 

ด้วยเหตุนี้ที่ศาลชั้นต้นให้ลงโทษประหารชีวิตจำเลย โดยไม่ลดโทษให้ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 นั้นย่อมเหมาะสมแก่พฤติการณ์แห่งรูปคดีแล้ว จึงไม่มีเหตุที่ศาลอุทธรณ์จะเปลี่ยนแปลงแก้ไขอุทธรณ์ของจำเลยฟังไม่ขึ้น พิพากษายืนตามศาลชั้นต้น จำเลยจึงยื่นฎีกาขอให้ศาลลดโทษ จนกระทั่งศาลฎีกา ได้นัดอ่านคำพิพากษาครั้งนี้ โดยมีคำพิพากษายืนโทษประหารชีวิต